ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดเมื่อคืน (17 ต.ค.66) บวก 13.11 จุด ตลาดผันผวน รับผลประกอบการแกร่ง แต่เจอข่าวลบ "บอนด์ยีลด์พุ่ง-สหรัฐระงับส่งออกชิป AIให้จีน ฉุดหุ้นชิปร่วง"


ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (17 ต.ค.66) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,997.65 จุด เพิ่มขึ้น 13.11 จุด หรือ + 0.04%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,373.20 จุด ลดลง 0.43 จุด หรือ -0.01% และ
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,533.75 จุด ลดลง 34.24 จุด หรือ -0.25%

โดยภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน ในช่วงแรกตลาดดีดตัวขึ้นขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน อาทิ แบงก์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 90 เซนต์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 82 เซนต์ และโกลด์แมน แซคส์ เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 อยู่ที่ 5.47 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.31 ดอลลาร์ รวมถึง บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 2.66 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.52 ดอลลาร์

หลังการประกาศผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียนไม่นาน ตลาดถูกกระทบจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่พุ่งขึ้นทะลุระดับ 4.8% ทำให้ตลาดอ่อนแรงลงในเวลาต่อมา ประกอบกับถูกกดดันจากราคาหุ้นบริษัทผลิตชิปร่วงลง หลังคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศแผนระงับการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ผลิตโดยบริษัทอินวิเดียและบริษัทอื่นๆให้กับจีน เพื่อขัดขวางไม่ให้จีนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยของสหรัฐ เพราะกังวลว่าจีนอาจจะนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ในการพัฒนากองทัพ

ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวได้ฉุดดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ตลาดฟิลาเดลเฟีย (PHLX Semiconductor Index) ลดลง 0.8% ขณะที่หุ้นอินเทล ร่วงลง 1.4% ส่วนหุ้นอินวิเดีย ดิ่งลง 4.7% แม้อินวิเดียประเมินว่ามาตรการดังกล่าวของรัฐบาลสหรัฐจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญในระยะใกล้นี้

นอกจากนี้ ทางการสหรัฐยังเปิดเผยยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาดพุ่งขึ้น 0.7% ในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% จากแรงหนุนยอดขายรถยนต์และยอดขายของสถานีบริการน้ำมัน ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เช่นกัน โดย แอนโทนี ซากลิมบีน นักวิเคราะห์บริษัท Ameriprise Financial กล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสถือเป็นข่าวดี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นข่าวร้ายสำหรับตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนมองว่าภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตรึงดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานขึ้น และอาจดับความหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า

นักลงทุนให้น้ำหนัก 37.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.50-5.75% ในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่ให้น้ำหนักเพียง 25% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยนักลงทุนจับตาการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์ก (Economic Club of New York)ในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด ก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.66

นอกจากนี้ นักลงทุนยังติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดมีรายงานว่าชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตกว่า 500 รายหลังจากกองทัพอิสราเอลยิงถล่มโรงพยาบาลในฉนวนกาซา ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ จะเดินทางเยือนอิสราเอลในวันนี้ เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนอิสราเอลในการต่อสู้กับกลุ่มฮามาส

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 18 ต.ค. 2566 เวลา : 10:55:24

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 2:34 am