ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (2 พ.ย.66) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดเพิ่มขึ้น 564.5 จุด หรือ 1.7% ปิดที่ 33,839.08 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 79.92 จุดหรือ 1.89% ปิดที่ 4,317.78 จุดและดัชนีแนสแดค ปิดเพิ่มขึ้น 232.72 จุดหรือ 1.78% ปิดที่ 13,294.19 จุด ขานรับการคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ถึงจุดสิ้นสุดของวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
เนื่องจากภายหลังมติคณะกรรมการกำหนดนโยบายทางการเงินของเฟด ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตามเดิมที่ 5.25-5.50% ตามความคาดหมายเมื่อวันพุธที่ 1 พ.ย.66 และ นายเจอร์โรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ยอมรับว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเมื่อเร็วๆ นี้ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ และทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
Justin Burgin รองประธานฝ่ายวิจัยตราสารทุน Ameriprise Financial กล่าวว่า ความคิดเห็นของประธานเฟด คือสิ่งที่ทุกคนอยากได้ยิน และถูกมองว่าเป็นการบอกใบ้ว่าเฟดอาจเสร็จสิ้นการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดยข้อมูลล่าสุดของ LSEG ระบุว่า มีบริษัทจดทะบียนสูงถึง 80.9% ที่รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และมีเพียง 14.9% ที่รายงานผลประกอบการต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์
โดยหุ้นของสตาร์บัคส์ ปิดพุ่งขึ้น 9.5% และหุ้นควอลคอมม์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของสหรัฐฯ ขึ้น 5.8% หลังทั้ง 2 บริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สูงเกินคาด ด้านหุ้นเพย์พาล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์ ปิดเพิ่มขึ้น 6.6% หลังบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีงบการเงิน 2566
หุ้น Apple ปิดตัวเพิ่มขึ้น 2% ก่อนรายงานผลประกอบการในวันนี้ อย่างไรก็ตาม หุ้นโมเดอร์นา ปิดร่วงลง 6.5% หลังบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 3/2566 หลังยอดจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ตกต่ำ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ต่างจับตา ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.88 แสนตำแหน่งในเดือนต.ค. หลังพุ่งขึ้น 3.36 แสนตำแหน่งในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.8% ในเดือนต.ค.
ข่าวเด่น