ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (13 พ.ย.66) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,337.87 จุด เพิ่มขึ้น 54.77 จุด หรือ +0.16%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,411.55 จุด ลดลง 3.69 จุด หรือ -0.08% และ
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,767.74 จุด ลดลง 30.36 จุด หรือ -0.22%โดยการซื้อขายค่อนข้างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในวันนี้ (14 พ.ย.)เพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
โดย นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 3.3% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนก.ย.ที่ปรับตัวขึ้น 3.7% และคาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 4.1% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก.ย.
แมตต์ สตักกี นักวิเคราะห์บริษัท Northwestern Mutual Wealth Management กล่าวว่า แม้ตลาดคาดการณ์เฟดได้ยุติวงจรการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว แต่การคาดการณ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงได้ก็ต่อเมื่อเงินเฟ้อส่งสัญญาณถึงความคืบหน้าตามเป้าหมายของเฟด ควบคู่ไปกับตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลง
ด้าน FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 86% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 12-13 ธ.ค.
นักลงทุนยังจับตาสภาคองเกรสสหรัฐซึ่งกำลังเร่งผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณเพื่อช่วยให้หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงการปิดดำเนินงานหรือชัตดาวน์ ได้ทันกำหนดเส้นตายในวันศุกร์ที่ 17 พ.ย.นี้ โดยนายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้นำเสนอร่างงบประมาณการใช้จ่ายในด้านต่างๆ แต่ไม่รวมถึงการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือยูเครนและอิสราเอล
การเสนอร่างงบประมาณการใช้จ่ายของนายจอห์นสัน มีขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากมูดี้ส์ประกาศลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐสู่ “เชิงลบ” จาก “มีเสถียรภาพ” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 พ.ย.) โดยมูดี้ส์คาดการณ์ว่า การขาดดุลการคลังของสหรัฐจะยังคงอยู่ในระดับสูงมาก และจะทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงอย่างมาก
ข่าวเด่น