ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดตลาด (25 ม.ค.67) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 35.77 บาทต่อดอลลาร์


 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (25 ม.ค.67) ที่ระดับ  35.77 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”
จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.67 บาทต่อดอลลาร์

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 35.56-35.78 บาทต่อดอลลาร์) โดยในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ เงินบาทได้ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และโฟลว์ขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ก่อนที่เงินบาทจะผันผวนอ่อนค่าลงต่อเนื่อง หลังรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ยตามที่ได้เคยประเมินไว้ ส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท 

ภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวขึ้นต่อได้ แต่ก็มาจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ (The Magnificent 7) เป็นหลัก หลัง Netflix +11% รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมีความหวังต่อแนวโน้มผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม Semiconductor อาทิ AMD +5.9%, Nvidia +2.5% หลังบริษัทผู้ผลิตชิพรายใหญ่ อย่าง ASML รายงานผลประกอบการที่สดใส ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.36% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาดเพียง +0.08% 

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาพุ่งขึ้น +1.18% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบริษัทเทคฯ ใหญ่ อย่าง ASML +9.7% และ SAP +7.6% ที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ บรรดาหุ้นในธีมที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน ทั้ง หุ้นในกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม LVMH +1.9% ยานยนต์ Volkswagen +1.6% และเหมืองแร่ Rio Tinto +1.6% ต่างปรับตัวขึ้น ตอบรับความหวังแนวโน้มเศรษฐกิจจีนอาจฟื้นตัวดีขึ้น หลังทางการจีนได้ทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนตลาดทุนเพิ่มเติม

ในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานดัชนี PMI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาดีกว่าคาด สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงสดใส รวมถึง ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ที่แม้ส่วนใหญ่จะมาจากหุ้นเทคฯ ใหญ่) ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี ปรับตัวขึ้น ต่อเนื่องเข้าใกล้ระดับ 4.20% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า หากผู้เล่นในตลาด “เลิกเชื่อ” ว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้เร็วและลึก ก็จะส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสผันผวนสูงขึ้นได้ในช่วงนี้ ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยพยายามคำนึงถึง จุดคุ้มทุน หรือ Break-even เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนรวม หรือ Total Return ที่จะได้จากการถือครองบอนด์  (บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตั้งแต่ 4.20% ขึ้นไป ถือว่า มี Risk-Reward ที่น่าสนใจ)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ทั้งนี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงทั้งในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป (ซึ่งช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร) ได้ช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ไว้บ้าง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) รีบาวด์ขึ้นใกล้ระดับ 103.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.8-103.4 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ยตามที่เคยประเมินไว้ รวมถึง ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับระยะสั้นแถว 2,010 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง ซึ่งเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอจังหวะทยอยเข้าซื้อทองคำในโซนดังกล่าว เพื่อหวังลุ้นการรีบาวด์ระยะสั้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาโซนแนวรับนี้มักจะเป็นโซนที่เห็นการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ อนึ่ง โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง
 
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ตลาดทยอยรับรู้ในช่วง 20.15 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ซึ่งเราประเมินว่า ECB จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 4.00% ทว่าปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน คือ มุมมองของ ECB โดยเฉพาะมุมมองของประธาน ECB ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ ECB ได้อย่างมีนัยสำคัญ 

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ คาดการณ์ครั้งแรกของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 รวมถึง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) 

สำหรับในฝั่งไทย เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานยอดการส่งออกและนำเข้าของไทยล่าสุด เพื่อประกอบการประเมินทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2024 

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดจะติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด โดยในช่วงนี้ รายงานผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ ก็ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้พอสมควร

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย “เร็วและลึก” ของเฟดที่ตลาดได้เคยประเมินไว้ก่อนหน้า นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญปัจจัยกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะทองคำ หลังราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับระยะสั้น อย่างไรก็ดี เราคาดว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจจำกัดอยู่ในโซน 35.80-35.90 บาทต่อดอลลาร์ (เราขยับโซนเล็กน้อย หลังจากวันก่อนหน้าเงินบาทได้อ่อนค่าทะลุ 35.80 บาทต่อดอลลาร์ ไปเล็กน้อย) เนื่องจาก หากบรรยากาศในตลาดการเงินฝั่งเอเชียเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ตามความหวังการฟื้นตัวของตลาดทุนจีนและเศรษฐกิจจีน ก็อาจช่วยหนุนให้นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นเพิ่มเติมได้บ้าง หรือ อย่างน้อยก็อาจลดทอนแรงขายหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติได้บ้าง

อย่างไรก็ดี เราคงมองว่า เงินบาทยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ชัดเจน จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามา หรือ นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสินทรัพย์ไทยต่อเนื่อง ซึ่งเราประเมินว่า ภาพดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นได้ หากผู้เล่นในตลาดมั่นใจแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดมากขึ้น (ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงได้แน่นอน) ซึ่งอาจเกิดขึ้นพร้อมจังหวะการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ทำให้โซนแนวรับของเงินบาทในระยะสั้นจะยังเป็นโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ 

ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงทยอยรับรู้ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ โดยมีโอกาสที่จะเห็นเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) หาก ECB ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ยังไม่รีบปรับลดดอกเบี้ย หรือ ยังไม่เริ่มพิจารณาถึงการปรับลดดอกเบี้ย ก่อนที่เงินดอลลาร์จะมีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้หลังจากนั้น หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดชัดเจน จนทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกังวลว่า เฟดอาจจะลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยที่น้อยกว่าและช้ากว่าที่ตลาดกำลังประเมินอยู่ล่าสุด 

ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เรายังคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.60-35.90 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 25 ม.ค. 2567 เวลา : 10:45:05

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 2:41 am