ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (29 ม.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ และข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,333.45 จุด เพิ่มขึ้น 224.02 จุด หรือ +0.59%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,927.93 จุด เพิ่มขึ้น 36.96 จุด หรือ +0.76% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,628.04 จุด เพิ่มขึ้น 172.68 จุด หรือ +1.12%
ดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ต่างก็ปิดทำนิวไฮ ขณะที่ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า 1% ก่อนที่บริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูงจะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงอัลฟาเบท, ไมโครซอฟท์, ควอลคอมม์, แอปเปิ้ล, อะเมซอน และเมตา แพลตฟอร์มส์ ส่วนบริษัทจดทะเบียนรายอื่น ๆ ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ได้แก่เจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม), โบอิ้ง, เอ็กซอน โมบิล และเชฟรอน
หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 1.37% และดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น 0.97% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมัน WTI
หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 4.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยแผนการใช้จ่ายประเภททุน (Capex) กว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งข่าวดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นฟื้นตัว หลังจากหุ้นเทสลาร่วงลงอย่างหนักก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากการรายงานกำไรและรายได้ที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 4/2566
หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ดีดตัวขึ้น 1.7% ปิดที่ระดับ 401.02 ดอลลาร์ หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทเจฟเฟอรีส์ ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นเมตาขึ้นสู่ระดับ 455 ดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 425 ดอลลาร์
หุ้นวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ดิสคัฟเวอรี ร่วงลง 1.3% หลังจากนักวิเคราะห์ของเวลส์ ฟาร์โก ได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ลงสู่ระดับ "equal weight" จากระดับ "overweight"
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีกำหนดการประชุมวันแรกในวันนี้ (30 ม.ค.) และจะแถลงมติการประชุมในวันพุธที่ 31 ม.ค. หรือตรงกับช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีที่ 1 ก.พ.ตามเวลาไทย ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 100% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมครั้งนี้
ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยในวันข้างหน้านั้น ผลการสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ และมีโอกาสเกิดขึ้นในเดือนมิ.ย.มากกว่าเดือนพ.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ย.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์ รวมทั้งตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนธ.ค.
ในวันพุธจะมีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนม.ค.จาก ADP ส่วนในวันพฤหัสบดีจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีภาคการผลิตเดือนม.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนธ.ค.
สำหรับในวันศุกร์ สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนม.ค., ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนธ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ข่าวเด่น