(224).jpg)
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (18 เม.ย.67)ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 37,775.38 จุด เพิ่มขึ้น 22.07 จุด หรือ +0.06%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,011.12 จุด ลดลง 11.09 จุด หรือ -0.22% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,601.50 จุด ลดลง 81.87 จุด หรือ -0.52% หลังเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายราย ซึ่งรวมถึงนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟด สาขาคลีฟแลนด์, นางมิเชล โบว์แมน สมาชิกคณะผู้ว่าการเฟด, นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟด สาขานิวยอร์ก และนายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟด สาขาแอตแลนตา ต่างแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เฟดยังไม่ควรเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพราะการที่เงินเฟ้อจะชะลอตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% นั้น อาจจะใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักเพียง 15.2% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนมิ.ย. และให้น้ำหนัก 41.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. ซึ่งลดลงจากระดับ 48.4% ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 30 เม.ย. – 1 พ.ค.นี้ โดยตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมดังกล่าว
สหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจและตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง โดยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกอยู่ที่ระดับ 212,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งแม้ว่าไม่เปลี่ยนแปลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 215,000 ราย
ด้านเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียรายงานว่า ดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก พุ่งขึ้น 12.3 จุด สู่ระดับ +15.5 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ +2.5 โดยดัชนียังคงมีค่าเป็นบวก ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกยังคงมีการขยายตัว
ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นทะลุระดับ 4.6% เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้น
ข่าวเด่น