ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (23 เม.ย.67) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,503.69 จุด เพิ่มขึ้น 263.71 จุด หรือ +0.69%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,070.55 จุด เพิ่มขึ้น 59.95 จุด หรือ +1.20% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,696.64 จุด เพิ่มขึ้น 245.33 จุด หรือ +1.59% โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของบริษัทจดทะเบียน
โดย บริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 2.62 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.15 ดอลลาร์ ส่งผลให้หุ้น GM ปิดตลาดพุ่งขึ้น 4.4%
ขณะที่ หุ้นยูไนเต็ด พาร์เซิล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์ใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 2.41% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 1.43 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.29 ดอลลาร์
หุ้นสปอติฟาย (Spotify) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการสตรีมมิงดนตรีรายใหญ่สัญชาติสวีเดน ทะยานขึ้น 11.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 1/2567 ที่ระดับสูงกว่า 1 พันล้านยูโร (1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เป็นครั้งแรก
หุ้นจีอี แอโรสเปซ (GE Aerospace) ผู้ผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 8.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 1/2567 และเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการตลอดปีงบการเงิน 2567 ที่สูงเกินคาด
เป๊ปซี่โค (PepsiCo) เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2567 ที่ระดับ 1.61 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.52 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในช่วงแรก แต่หุ้นเป๊ปซี่โคปิดตลาดร่วงลง 2.9% หลังมีข่าวการเรียกคืนผลิตภัณฑ์อาหารแบรนด์ “Quaker Oats” ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือของเป๊ปซี่โค
หุ้นเทสลา ดีดตัวขึ้น 1.85% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการหลังจากตลาดปิดทำการ
ข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า นับจนถึงวันอังคารที่ 23 เม.ย. มีบริษัทในดัชนี S&P500 รายงานผลประกอบการไปแล้วประมาณ 20% โดยในจำนวนนี้ มี 76% ที่รายงานผลประกอบการสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายอื่น ๆ ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเมตา แพลตฟอร์มส์, อัลฟาเบท และไมโครซอฟท์
ด้าน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงลงหลุดระดับ 4.6% เมื่อคืนนี้ หลังจากเอสแอนด์พี โกลบอล เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.9 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน จากระดับ 52.1 ในเดือนมี.ค.
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันศุกร์นี้ (26 เม.ย.) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ข้อมูลล่าสุดจากแอลเอสอีจี (LSEG) ระบุว่า ขณะนี้นักลงทุนในตลาดการเงินคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 0.43% ในปีนี้ ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยโดยรวม 1.50% ในปีนี้
นอกเหนือจากดัชนี PCE แล้ว นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งรวมถึงยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค. ส่วนในวันพฤหัสบดีจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2567, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) เดือนมี.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ข่าวเด่น