ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (18 มิ.ย.67) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 36.79 บาทต่อดอลลาร์


 
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (18 มิ.ย.67) ที่ระดับ  36.79 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  36.82 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 36.77-36.85 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะสกุลเงินฝั่งยุโรป ทั้งเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังตลาดการเงินยุโรปเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่เงินบาทกลับไม่ได้แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ เนื่องจากราคาทองคำก็มีจังหวะปรับตัวลดลง ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงรอจังหวะดังกล่าวในการทยอยเข้าซื้อทองคำ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างยังคงกังวลต่อสถานการณ์การเมืองของไทย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมีมุมมองเชิงลบต่อเงินบาทในระยะสั้นนี้ ส่วนนักลงทุนต่างชาติก็ยังไม่รีบกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Semiconductor อย่าง AVGO +5.4%, Qualcom +3.2% ตามความหวังว่า แนวโน้มผลประกอบการของหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะเติบโตได้ดีตามกระแสการประยุกต์ใช้ AI ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.95% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.77%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้นราว +0.09% ตามการรีบาวด์ขึ้นบ้างของบรรดาหุ้นฝรั่งเศสที่ปรับตัวลงหนักในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า จากความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม Semiconductor เช่นเดียวกับฝั่งสหรัฐฯ อาทิ ASML +1.7%

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นราว +5bps สู่ระดับ 4.27% หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อโอกาสที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ (ตลาดประเมินโอกาสดังกล่าวราว 78% จากที่เคยสูงเกือบ 100% ในวันก่อนหน้า) ตามรายงานดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดสาขานิวยอร์ก (NY Empire State Manufacturing Index) ที่ออกมาสูงกว่าคาด ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบก็ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเกือบ +3% อย่างไรก็ดี เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็อาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ sideways แถวระดับ 4.25% ไปก่อน จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม และ เราคงมุมมองเดิมว่า ในทุกๆ จังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวที่น่าสนใจ เนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดในระยะข้างหน้ามีเพียงแค่ “คง” หรือ “ลง” มากกว่าที่เฟดจะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง
 
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก หลังสกุลเงินฝั่งยุโรป ทั้งเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ต่างรีบาวด์ขึ้นบ้าง ตามการทยอยเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินฝั่งยุโรป ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ก็ไม่ได้อ่อนค่าลงต่อเนื่องไปมาก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดในระยะถัดไป ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่ระดับ 105.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.2-105.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงบ้าง ทว่าการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นปัจจัยที่กดดันไม่ให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ปรับตัวขึ้นต่อได้ชัดเจน และทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 2,330-2,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 
 
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม พร้อมทั้งรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงิน โดยเฉพาะโอกาสที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ 

ส่วนในฝั่งยุโรป ไฮไลท์สำคัญ จะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน เดือนพฤษภาคม และดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีและยูโรโซน ที่สำรวจโดย ZEW นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เช่นกัน

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.35% ไปก่อน จนกว่าจะมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะสามารถชะลอตัวลงกลับสู่เป้าหมายได้สำเร็จ แม้ว่าปัจจุบัน ภาพเศรษฐกิจออสเตรเลียจะมีการชะลอลงตัวบ้างก็ตาม 

และในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาการพิจารณาคดีการเมืองสำคัญโดยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในระยะสั้นและสร้างความผันผวนให้กับฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงตลาดการเงินไทยได้

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ควรระวังความเสี่ยงที่เงินบาทอาจผันผวนอ่อนค่าลงต่อได้ ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ดังจะเห็นได้จากแรงขายสินทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่องของบรรดานักลงทุนต่างชาติ ทำให้เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านแถว 36.85-36.90 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 37.00 บาทต่อดอลลาร์) อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างบรรดาผู้ส่งออก อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าเข้าใกล้โซนแนวต้านดังกล่าวได้ 

ส่วนการแข็งค่าในช่วงนี้ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด จนกว่าตลาดจะคลายกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศและสถานการณ์การเมืองฝั่งยุโรป ซึ่งจะช่วยให้เงินดอลลาร์สามารถอ่อนค่าลงได้ชัดเจนอีกครั้ง หากตลาดยังมั่นใจว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ทำให้เงินบาทยังมีแนวรับแถวโซน 36.60-36.70 บาทต่อดอลลาร์ 

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ทั้งรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน (ช่วง 16.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ (ช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งในปีนี้ ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาทได้บ้าง แม้ว่าเงินบาทจะยังคงเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศก็ตาม

เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.65-36.90 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 18 มิ.ย. 2567 เวลา : 10:33:34

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 2:26 am