ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (19 มิ.ย.67) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 36.67 บาทต่อดอลลาร์


 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (19 มิ.ย.67) ที่ระดับ  36.67 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  36.83 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 36.65-36.85 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจมากขึ้นว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ จากรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมที่ขยายตัวเพียง +0.1%m/m น้อยกว่าที่ตลาดประเมินไว้ นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้หนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมาเช่นกัน 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ขณะเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม Semiconductor อาทิ Nvidia +3.5% ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มทยอยขายทำกำไรหุ้นเทคฯ ใหญ่ออกมาบ้าง เช่น Meta -1.4% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดเพียง +0.25%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นราว +0.69% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ อย่างกลุ่ม Semiconductor ตามหุ้นธีม AI ในฝั่งสหรัฐฯ อาทิ ASML +1.5% ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังเชื่อว่า แนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักจะเข้าสู่ช่วงการทยอยลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้ ทั้งนี้ ความกังวลสถานการณ์การเมืองในฝรั่งเศสก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก 

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลงสู่ระดับ 4.22% หลังรายงานยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาน้อยกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความหวังว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจผันผวนในกรอบ sideways และสามารถที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งของเฟดในปีนี้ ทว่าเราคงคำแนะนำเดิมว่า ในทุกๆ จังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวที่น่าสนใจ เนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดในระยะข้างหน้ามีเพียงแค่ “คง” หรือ “ลง” มากกว่าที่เฟดจะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง
 
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก หลังรายงานยอดค้าปลีกที่ออกมาแย่กว่าคาด ยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่าเฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ทว่า เงินดอลลาร์ก็ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์การเมืองในฝรั่งเศสที่กดดันไม่ให้เงินยูโร (EUR) สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องไปได้มากนัก ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่ระดับ 105.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.1-105.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) สามารถรีบาวด์ขึ้นเหนือโซน 2,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินบาท
 
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยหากทั้งอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนี PPI ชะลอตัวลงต่อเนื่อง มากกว่าคาด ก็อาจเปิดโอกาสให้ BOE สามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนสิงหาคม ซึ่งอาจเร็วขึ้นกว่าที่ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า BOE จะเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้ชะลอลง หลังความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทยได้คลี่คลายลงบ้างในระยะสั้น ซึ่งอาจช่วยลดแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท หากบรรดานักลงทุนต่างชาติไม่ได้เดินหน้าขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะหลังที่ทยอยออกมาแย่กว่าคาด ก็มีส่วนช่วยลดทอนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ได้ในช่วงนี้ อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็อาจยังไม่สามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ชัดเจน เนื่องจากฝั่งยุโรปก็ยังมีความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสอยู่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันไม่ให้เงินยูโร (EUR) สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ในช่วงนี้ และแม้ว่าเงินบาทอาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่เราก็มองว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทำให้เงินบาทก็อาจยังติดในโซนแนวรับแถว 36.50-36.60 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านก็ยังคงเป็นช่วง 36.80-36.90 บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนี PPI ของอังกฤษ (ช่วง 13.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) เพราะหากอัตราเงินเฟ้อชะลอลงมากกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของ BOE ให้เร็วขึ้นจากช่วงปลายไตรมาส 3 ซึ่งอาจกดดันให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) มีโอกาสอ่อนค่าลงได้บ้าง และเป็นปัจจัยที่หนุนเงินดอลลาร์ในช่วงนี้

เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.55-36.80 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 19 มิ.ย. 2567 เวลา : 10:45:51

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 3:09 am