ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (2 ก.ค.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 36.76 บาทต่อดอลลาร์


นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (2 ก.ค.67) ที่ระดับ  36.76 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  36.72 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาททยอยอ่อนค่าลงในลักษณะ sideways up (แกว่งตัวในช่วง 36.68-36.79 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่แม้ว่าจะถูกกดดันจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม เดือนมิถุนายน ที่ออกมาแย่กว่าคาด แต่เงินดอลลาร์ก็ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งถูกกดดันจากการปรับตัวขึ้นเกือบแตะระดับ 4.50% ของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติม จากจังหวะการย่อตัวลงบ้างของราคาทองคำ (XAUUSD) ตามการปรับตัวขึ้นของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ 

แม้ว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้นเกือบแตะระดับ 4.50% ทว่าบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างก็สามารถรีบาวด์ ปรับตัวขึ้น นำโดย Apple +2.9%  ท่ามกลางความหวังว่า แนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจทำให้เฟดสามารถจะลดดอกเบี้ยในปีนี้ได้ราว 2 ครั้ง ซึ่งมากกว่าที่เฟดระบุไว้ใน Dot Plot ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.83% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.27%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.32% หลังผลการเลือกตั้งรอบแรกของฝรั่งเศส สะท้อนว่าพรรคขวาจัด (National Rally) แม้จะได้คะแนนมากสุด แต่ก็อาจไม่สามารถได้จำนวนที่นั่งเกินกึ่งหนึ่งของสภาได้ (เกิน 289 ที่นั่ง) ทำให้บรรดาหุ้นฝรั่งเศสต่างรีบาวด์ขึ้น อาทิ BNP +3.6%, Airbus +2.6% นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันดิบก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรป  

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเกือบแตะระดับ 4.50% หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนกังวลว่า หากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งสมัยที่สอง พร้อมกับสภาคองเกรสภายใต้การควบคุมของพรรครีพับลิกัน อาจทำให้สหรัฐฯ เผชิญการขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ดังกล่าวก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอ “Buy on Dip” บอนด์ระยะยาว จากความหวังว่า เฟดจะยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ตามแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตก็ออกมาย้ำภาพดังกล่าว ทั้งนี้ เราคงย้ำมุมมองเดิมว่า ในทุกๆ จังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวที่น่าสนใจ เนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดในระยะข้างหน้ามีเพียงแค่ “คง” หรือ “ลง” และหากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 4.50% ได้อีกครั้ง ก็จะเป็นจังหวะที่ดีในการเพิ่มสถานะการลงทุนในบอนด์ระยะยาว 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่กลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องสู่ระดับ 161.50 เยนต่อดอลลาร์ หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเกือบแตะระดับ 4.50% ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD ออกมาบ้าง ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 105.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.6-106 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ปรับตัวลดลงเกือบ -20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง สู่ระดับ 2,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างยังคงมีความหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้งของเฟดในปีนี้ ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางก็ยังมีความร้อนแรงอยู่ 

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ที่ตลาดคาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 7.86 ล้านตำแหน่ง พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell เพื่อประเมินโอกาสที่เฟดอาจสามารถลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด  

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนมิถุนายน และรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ในกรอบ 36.65-36.85 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อน จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่บ้าง ตราบใดที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ สะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น ทว่า ในช่วงนี้ เงินดอลลาร์ก็ดูยังได้แรงหนุนอยู่ จากการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยสกุลเงินฝั่งยุโรป ทั้งเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงการเมือง ที่พร้อมจะกดดันให้สกุลเงินดังกล่าวอ่อนค่าลง ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็ยังมีความเสี่ยงผันผวนอ่อนค่า ตราบใดที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่กลับมาย่อตัวลง แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะออกมาแย่กว่าคาดก็ตาม 

นอกจากนี้ เงินบาทก็อาจผันผวนไปตามโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ โดยเฉพาะในส่วนของราคาทองคำ ที่อาจยังอยู่ในช่วงการปรับฐาน และอาจไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ จนกว่าจะเห็นการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หรือ ตลาดเผชิญความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติก็อาจยังมีความผันผวนอยู่ แม้ว่า นักลงทุนต่างชาติจะเริ่มกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยในวันก่อนหน้าก็ตาม 

เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.65-36.85 บาท/ดอลลาร์

LastUpdate 02/07/2567 14:05:11 โดย : Admin

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 4:03 am