ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (5 ก.ค.67) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 36.66 บาทต่อดอลลาร์


นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (5 ก.ค.67) ที่ระดับ 36.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.65 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideways ที่แคบลงตามที่เราประเมินไว้ (แกว่งตัวในช่วง 36.60-36.66 บาทต่อดอลลาร์) เนื่องจากตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ ปิดทำการในวันหยุด 4th of July ทำให้สินทรัพย์ในตลาดส่วนใหญ่ต่างเคลื่อนไหวในกรอบ sideways นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษ (ซึ่งคาดการณ์จาก Exit Polls ล่าสุด สะท้อนว่า พรรคแรงงาน หรือ Labour party จะได้ที่นั่งในสภาถึง 410 ที่นั่งจาก 650 ที่นั่งทั้งหมดในสภา) รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในช่วงกลางคืนของวันศุกร์นี้ 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องในวันหยุด 4th of July อย่างไรก็ดี เราคาดว่าผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบเปิดรับความเสี่ยงมากนัก จนกว่าจะรับรู้รายงานยอดการจ้างงานในวันศุกร์นี้ก่อน สะท้อนจาก สัญญาฟิวเจอร์สตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ทรงตัว ไม่ต่างจากระดับก่อนหน้ามากนัก

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.56% หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลต่อสถานการณ์การเมืองอังกฤษและการเมืองฝรั่งเศสมากขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาท Shell +1.7% ตามการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์มีจังหวะผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลักฝั่งยุโรป ทั้งเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ที่ได้แรงหนุนจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินยุโรป และความกังวลสถานการณ์การเมืองยุโรปที่คลี่คลายลงบ้าง อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ไม่ได้อ่อนค่าลงต่อเนื่อง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่ระดับ 105.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.1-105.3 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง ทำให้โดยรวมราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ย่อตัวลงบ้าง แต่ยังคงแกว่งตัวเหนือระดับ 2,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า ราคาทองคำจะมีการปรับตัวในทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น หลังรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ทั้งยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการเติบโตของรายได้ (Average Hourly Earnings) และ อัตราการว่างงาน (Unemployment) ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เฟดใช้พิจารณาในการกำหนดนโยบายการเงินเช่นกัน 

ส่วนในฝั่งไทย เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนมิถุนายน อาจชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า สู่ระดับ 1.10% (+0.2%m/m) จากผลของฐานราคาสินค้าและบริการที่สูงในปีก่อน และการปรับตัวลดลงของราคาเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้จากเดือนก่อน ทว่าโดยรวมอัตราเงินเฟ้อของไทยก็มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบเป้าหมาย 1%-3% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่า หากแนวโน้มเศรษฐกิจไม่ได้มีทิศทางที่แย่ลงจากการประเมินของ ธปท. ชัดเจน ธปท. ก็สามารถคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ได้ในปีนี้ 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ sideways แถวโซน 36.50-36.70 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ โดยเรามองว่า เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากการแข็งค่าขึ้นของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หากผลการเลือกตั้งทั่วไปสะท้อนว่า พรรคแรงงาน (Labour party) สามารถคว้าเสียงข้างมากในสภาได้จริงตามผล Exit Polls ที่ออกมา ทั้งนี้ จากสถิติในอดีตตั้งแต่ปี 1990 พบว่า การแข็งค่าของเงินปอนด์ในระยะสั้นอาจเป็นไปอย่างจำกัด อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในช่วงคืนวันศุกร์นี้ (เวลาราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) อนึ่ง เงินบาทก็อาจผันผวนไปตามทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติได้เช่นกัน หลังล่าสุด ดัชนี SET เริ่มมีแนวโน้มกลับตัว รีบาวด์ขึ้นได้บ้าง เปิดโอกาสให้ในระยะสั้น นักลงทุนต่างชาติอาจทยอยเข้าซื้อหุ้นไทยได้บ้าง แต่ก็อาจรอขายในจังหวะที่ดัชนีติดโซนแนวต้าน หากไม่ได้มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน หรืออาจกล่าวได้ว่า นักลงทุนต่างชาติอาจเน้น rages-trade ซื้อ-ขายในกรอบ ซึ่งภาพดังกล่าวก็อาจรวมถึงโฟลว์ธุรกรรมในฝั่งตลาดบอนด์ ซึ่งเราเห็นว่านักลงทุนต่างชาติจะเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip and Sell on Rally เป็นหลัก จนกว่าจะมั่นใจในแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงที่ชัดเจน 

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งหากสะท้อนภาพการชะลอต่อเนื่องของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ก็จะยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้เล่นในตลาดว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจย่อตัวลงต่อได้บ้าง หนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ในทางกลับกัน หากข้อมูลการจ้างงานออกมาดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอีกครั้ง ส่งผลให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้นได้เร็วและแรง หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่าเฟดมีโอกาสราว 87% ในการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้

เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.50-36.70 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดรับรู้ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ

และประเมินกรอบเงินบาท 36.35-36.85 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 05 ก.ค. 2567 เวลา : 10:50:38

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 3:37 am