ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (15 ก.ค.67) ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง ที่ระดับ 36.19 บาทต่อดอลลาร์


 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (15 ก.ค.67) ที่ระดับ  36.19 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า 

โดยนับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ ที่ผ่านมา เงินบาทผันผวนในกรอบ sideways (แกว่งตัวในกรอบ 36.10-36.25 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าลงบ้างในช่วงตลาดรับรู้รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ซึ่งออกมาสูงกว่าคาด ก่อนที่เงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ในช่วงตลาดรับรู้รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ที่ออกมาแย่กว่าคาด ส่วนคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่างก็ปรับตัวลดลงจากรายงานครั้งก่อน อย่างไรก็ดี เงินบาทได้ทยอยอ่อนค่าลง หลังเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุดได้กลับมาอ่อนค่าลงเหนือระดับ 158 เยนต่อดอลลาร์
 
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดมองว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้งในปีนี้ จากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ล่าสุดที่ชะลอลงกว่าคาด

สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรติดตามผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการประชุมใหญ่ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 ครั้งที่ 3 (Third Plenum) และรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นธีม AI/Semiconductor และหุ้นกลุ่มการเงิน
 
 

 
 
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

* ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมิถุนายน และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะมีทั้งสถาบันการเงินขนาดใหญ่ อาทิ Goldman Sachs, BofA และหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ ธีม AI/Semiconductor เช่น ASML, TSMC โดยเราประเมินว่า รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้พอสมควร

* ฝั่งยุโรป – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเราประเมินว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 3.75% ในการประชุมครั้งนี้ และมีความเป็นไปได้ที่ประธาน ECB อาจส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ (เราประเมิน ECB อาจลดดอกเบี้ยลงอีกราว 2-3 ครั้ง) ตามแนวโน้มการชะลอลงต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม ส่วนในฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนมิถุนายน ยอดค้าปลีกเดือนมิถุนายน และข้อมูลตลาดแรงงานเดือนพฤษภาคม เช่น อัตราการเติบโตของค่าจ้าง เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเราประเมินว่า BOE ก็อาจเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงพร้อมกับทางเฟดได้ในการประชุมเดือนกันยายน และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น สถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสจะยังคงเป็นปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดจะติดตามอย่างใกล้ชิด

* ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไตรมาส 2 และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อย่าง ยอดค้าปลีก พร้อมกันนั้น ตลาดจะให้ความสนใจกับทิศทางการดำเนินนโยบายและมาตรการสำคัญเพื่อพลิกฟื้นและกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ในการประชุมใหญ่ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 ครั้งที่ 3 (Third Plenum) ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดการส่งออก-นำเข้า ในเดือนมิถุนายน และในส่วนนโยบายการเงิน ตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 6.25% เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของเงินรูเปียะห์ (IDR) โดยทาง BI อาจเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ ในช่วงที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ยลงเช่นกัน หลังอัตราเงินเฟ้อก็เริ่มกลับเข้าสู่เป้าของ BI

* ฝั่งไทย – สถานการณ์การเมืองในประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะมีการนัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล โดยศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 17 กรกฎาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มการเงิน

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการแข็งค่ายังคงมีอยู่ แต่เริ่มอ่อนกำลังลง และต้องอาศัยปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยต้องระวังสถานการณ์การเมืองในประเทศที่อาจกดดันฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติได้ นอกจากนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ และเงินหยวนจีน (CNY) ที่มีผลต่อเงินบาทในช่วงนี้ได้พอสมควร โดยในส่วนของเงินหยวนนั้นจะผันผวนไปตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีน

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์อาจชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังการลดดอกเบี้ยราว 2-3 ครั้งของเฟดในปีนี้ไปพอสมควร ทว่าบรรยากาศในตลาดการเงินที่อาจผันผวนไปตามรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนก็อาจมีผลกระทบต่อทิศทางเงินดอลลาร์ได้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 35.90-36.50 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.10-36.30 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 15 ก.ค. 2567 เวลา : 10:33:04

24-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 24, 2024, 5:21 pm