ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (6 ส.ค.67) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,997.66 จุด เพิ่มขึ้น 294.39 จุด หรือ +0.76%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,240.03 จุด เพิ่มขึ้น 53.70 จุด หรือ +1.04% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,366.85 จุด เพิ่มขึ้น 166.77 จุด หรือ +1.03% เนื่องจากการแสดงความเห็นเชิงบวกของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐและกลับเข้าซื้อหุ้นอีกครั้ง
โดย เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายไม่เห็นด้วยกับมุมมองที่ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ของสหรัฐที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดนั้นหมายถึงเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่เฟดได้สนับสนุนให้คณะกรรมการเฟดเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ดังกล่าว
นางแมรี ดาลี ประธานเฟด สาขาซานฟรานซิสโก กล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดขึ้นที่รัฐฮาวายเมื่อจันทร์ที่ผ่านมาว่า เธอคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีความคืบหน้าในการชะลอตัวลงตามเป้าหมายของเฟด และการจ้างงานชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน
การแสดงความเห็นของนางดาลีมีขึ้นในวันเดียวกับที่นายออสแตน กูลสบี ประธานเฟดสาขาชิคาโกให้สัมภาษณ์ในรายการ Squawk Box ของสำนักข่าว CNBC ว่า เฟดควรมีมาตรการรับมือกับสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยก็ไม่ควรที่จะเข้มงวดเกินไปในขณะนี้
เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนัก 75% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. และให้น้ำหนักเพียง 25% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันดังกล่าว
แบล็กร็อก ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลกคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับตัวขึ้นต่อไป เนื่องจากนักลงทุนเริ่มคลายความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยแบล็กร็อกมองว่าตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแอเกินคาดของสหรัฐนั้นเกิดจากการชะลอตัวของการจ้างงาน ไม่ใช่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการที่อัตราว่างงานพุ่งขึ้นเกิดจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณแรงงานอันเนื่องมาจากแรงงานต่างชาติที่อพยพเข้าสู่สหรัฐ ไม่ใช่เกิดจากการเลิกจ้างของบริษัท ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่แตกต่างจากการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยก่อนหน้านี้
ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ร่วงลง 28.16% ปิดที่ระดับ 27.71 ซึ่งบ่งชี้ว่านักลงทุนกลับมาเปิดรับความเสี่ยง หลังคลายความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุด โดยพุ่งขึ้น 2.30% และ 1.46% ตามลำดับ
หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ (Caterpillar) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้นกว่า 3% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 5.99 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.54 ดอลลาร์ และมีรายได้อยู่ที่ 1.669 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.668 หมื่นล้านดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สหรัฐขาดดุลการค้าลดลง 2.5% สู่ระดับ 7.31 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ส่วนยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 0.6% สู่ระดับ 3.390 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. และส่งออกเพิ่มขึ้น 1.5% สู่ระดับ 2.659 แสนล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 22-24 ส.ค.นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ โดยการประชุมจะจัดขึ้นในหัวข้อ “Reassessing the Effectiveness and Transmission of Monetary Policy” และมีการคาดการณ์ว่านายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดอาจจะส่งสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ข่าวเด่น