ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (12 ส.ค.67) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 39,357.01 จุด ลดลง 140.53 จุด หรือ -0.36%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,344.39 จุด เพิ่มขึ้น 0.23 จุด หรือ +0.004% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,780.61 จุด เพิ่มขึ้น 35.31 จุด หรือ +0.21%
หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มบริการด้านการสื่อสารปรับตัวลงมากที่สุด โดยลดลง 0.64% และ 0.62% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นมากที่สุด โดยดีดตัวขึ้น 0.92% และ 0.49% ตามลำดับ
ส่วนดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปต่ำ ปรับตัวลง 0.9%
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค. ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ (13 ส.ค.) ตามมาด้วยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค. ในวันพุธ (14 ส.ค.) และยอดค้าปลีกเดือนก.ค. ในวันพฤหัสบดี (15 ส.ค.)
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน แต่จะทรงตัวที่ระดับ 3% เมื่อเทียบเป็นรายปี
ข้อมูลล่าสุดจาก FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักเท่ากันต่อการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.50% ในการประชุมเดือนก.ย. และคาดว่าภายในสิ้นปี 2567 เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 1%
ยอดค้าปลีกประจำเดือนก.ค.ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ มีแนวโน้มขยายตัวเพียงเล็กน้อย ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าความอ่อนแอของยอดค้าปลีกอาจจะส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภคและความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เจมส์ เอเบท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการลงทุนจากบริษัท Centre Asset Management ในรัฐนิวยอร์ก กล่าวว่า นักลงทุนรอดูผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทวอลมาร์ท และโฮมดีโปท์ โดยผลประกอบการเหล่านี้จะเป็นมาตรวัดความแข็งแกร่งของผู้บริโภค ส่วนดัชนี CPI ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพุธนี้ หากดัชนีออกมาสูงกว่าการคาดการณ์ก็อาจจะสร้างความผิดหวังให้กับตลาด
ข่าวเด่น