ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (22 ส.ค.67) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 34.26 บาทต่อดอลลาร์


นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (22 ส.ค.67) ที่ระดับ  34.26 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.34 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทแกว่งตัว sideways ในกรอบ 34.16-34.35 บาทต่อดอลลาร์ โดยแม้ว่าเงินบาทจะได้แรงหนุนจากการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังการปรับปรุงรายงานข้อมูลการจ้างงานเบื้องต้น (Preliminary Annual Payrolls Benchmark Revision) ชี้ว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในช่วง 12 เดือนที่สิ้นสุด ณ เดือนมีนาคมของปีนี้ นั้น ลดลงกว่า 8.18 แสน ตำแหน่ง จากที่ได้รายงานก่อนหน้า ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า แนวโน้มการชะลอลงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชัดเจนขึ้นนั้น จะทำให้เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนอย่างแน่นอน (พร้อมเพิ่มโอกาสที่เฟดจะเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ในการประชุมเดือนกันยายน) และผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว -100bps ในปีนี้ ทว่า เงินบาทก็มีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำ และอาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบ หลังราคาทองคำ (XAUUSD) มีจังหวะปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับ 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงหนักกว่า -2.4% จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ดูไม่น่ากังวลมากนัก  

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงมีความหวังว่า เฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก หลังการปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ล่าสุด ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มกลับมากังวลว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเสี่ยงชะลอตัวมากกว่าคาด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟดในงานสัมนาประจำปีของเฟดที่เมือง Jackson Hole ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.42%  

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.33% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มยานยนต์ที่ส่วนใหญ่รายงานผลประกอบการที่สดใส อาทิ Ferrari +2.5% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้รับอานิสงส์จากการทยอยเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ บ้าง ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะรายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการฝั่งยุโรป รวมถึงถ้อยแถลงของประธานเฟด 
 
ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวลดลงหลุดโซน 3.80% หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้การปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ เบื้องต้น ก่อนที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง สู่ระดับ 3.80% อีกครั้ง ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 3.80% จนกว่าตลาดจะรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรระวังความเสี่ยงที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้น หากผู้เล่นในตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดใหม่ โดยอาจกลับมามองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่การประชุมเดือนกันยายนและยังให้โอกาสราว 38% ที่เฟดจะเร่งลดดอกเบี้ยได้ -50bps ในการประชุมดังกล่าว หลังผู้เล่นในตลาดรับรู้การปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ เบื้องต้นและรายงานการประชุม FOMC ล่าสุด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 101.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100.9-101.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าในช่วงแรกราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซนแนวรับแถว 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่สุดท้ายราคาทองคำก็สามารถรีบาวด์กลับขึ้นมายังโซน 2,510-2,520 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ตามจังหวะการปรับตัวลดลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังตลาดรับรู้ทั้งการปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ เบื้องต้น และรายงานการประชุม FOMC ล่าสุด ซึ่งความผันผวนของราคาทองคำดังกล่าว ก็ส่งผลให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนด้วยเช่นกัน ตามโฟลว์ธุรกรรมทองคำที่เกิดขึ้น   

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ในเดือนสิงหาคม ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ทั้ง สหรัฐฯ ยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น โดยผู้เล่นในตลาดจะใช้ข้อมูลดังกล่าวในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งหากดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการในฝั่งสหรัฐฯ นั้น ปรับตัวดีขึ้น หรือ อาจออกมาดีกว่าคาด ก็จะพอช่วยคลายกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงชะลอตัวลงหนัก หลังตลาดรับรู้การปรับปรุงรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ เบื้องต้นในคืนที่ผ่านมาได้บ้าง และอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มประเมินว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ย -100bps ในปีนี้ 

นอกจากนี้ ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะติดตามรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ รวมถึงจับตาการส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนโยบายการเงินของเฟด จากงานสัมนาประจำปีของเฟดที่เมือง Jackson Hole ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคมนี้ 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นมีกำลังมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องในช่วงวันก่อนหน้า และยังอ่อนค่าลงได้ แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีมติ 6-1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ตามที่เราได้ประเมินไว้ในวันก่อน ซึ่งภาพดังกล่าวก็สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ Call Bottom USDTHB แถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ (เราประเมินว่า เงินบาทอาจไม่ได้แข็งค่าหลุดโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์) เนื่องจากเราคงมุมมองเดิมว่า การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมานั้นได้รับรู้ปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ไปมากแล้ว ขณะที่ เงินบาทก็เริ่มเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น หากตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต้องจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟดในสัปดาห์นี้ และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อีกทั้ง เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ในจังหวะย่อตัว ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ หลังราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ อาจขาดปัจจัยหนุนในช่วงนี้ได้ นอกจากนี้ จากการประเมินสถานะการถือครองของผู้เล่นในตลาด รวมถึงการประเมิน Valuation ของเงินบาท ก็ทำให้เรามองว่า เงินบาทอาจทยอยพลิกกลับมาอ่อนค่าจากโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ อนึ่ง เราจะมั่นใจมากขึ้นว่า เงินบาทได้กลับมาสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงชัดเจน หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 34.40 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ในเบื้องต้น เราประเมินว่า เงินบาทจะมีโซนแนวต้านแรกแถว 34.30 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซนแนวต้านสำคัญในช่วง 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับนั้นได้ขยับขึ้นมาแถว 34.00-34.10 บาทต่อดอลลาร์ 

เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย (Jobless Claims) ไปจนถึงช่วง 20.45 น. (ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ) ซึ่งอาจกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดในประเด็นแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้ โดยเฉพาะในกรณีที่รายงานข้อมูลดังกล่าวออกมาดีกว่าคาด 

เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะ JPY Carry Trade/Short JPY ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.15-34.40 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 22 ส.ค. 2567 เวลา : 10:35:18

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 3:40 am