ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (11 ก.ย.67) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 40,861.71 จุด เพิ่มขึ้น 124.75 จุด หรือ +0.31%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,554.13 จุด เพิ่มขึ้น 58.61 จุด หรือ +1.07% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,395.53 จุด เพิ่มขึ้น 369.65 จุด หรือ +2.17% โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งช่วยบดบังปัจจัยลบจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงเกินคาดและทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมสัปดาห์หน้า
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 3.25% ตามด้วยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวขึ้น 1.32% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงมากที่สุด โดยลดลง 0.93% ตามด้วยด้วยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวลง 0.88%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นนำตลาด โดยหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ทะยานขึ้น 8% หลังจากเว็บไซต์ข่าวเซมาฟอร์ (Semafor) รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเปิดทางให้บริษัทอินวิเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายใหญ่ของสหรัฐฯ สามารถส่งออกชิปที่ทันสมัยให้กับซาอุดีอาระเบีย
ส่วนหุ้นบริษัทเทคโนโลยีรายอื่น ๆ ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้น Microsoft พุ่งขึ้น 2.2%, หุ้น Alphabet ดีดขึ้น 1.4% หุ้น Apple บวก 1.1% หุ้น AMD พุ่งขึ้น 4.9% หุ้น Meta Platforms ปรับตัวขึ้น 1.4%
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังได้แรงหนุนจากผลการดีเบตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยผลสำรวจของสำนักข่าว CNN ระบุว่า คามาลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตสามารถคว้าชัยชนะเหนือโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ด้วยคะแนน 63% ต่อ 37% เมื่อเทียบกับคะแนน 50% ต่อ 50% ก่อนการดีเบต
ขณะที่ PredictIt ซึ่งเป็นเว็บไซต์พนันการเมืองระบุว่า หลังจากการดีเบตจบลง แฮร์ริสเป็นตัวเต็งชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. โดยมีอัตราต่อรองอยู่ที่ 57 เซนต์ เพิ่มขึ้นจาก 53 เซนต์ก่อนการดีเบต โดยหากแฮร์ริสชนะเลือกตั้ง คนแทงจะมีโอกาสได้รับเงินรางวัล 1 ดอลลาร์ (จ่าย 57 เซนต์ ลุ้นรับ 1 ดอลลาร์) ขณะที่อัตราต่อรองของทรัมป์อยู่ที่ 48 เซนต์ ลดลงจาก 52 เซนต์ก่อนการดีเบต
ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลง หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนี CPI ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แต่ดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%
ข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนก.ย. โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 85% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. หลังจากให้น้ำหนัก 66% เมื่อวันอังคาร และให้น้ำหนักเพียง 15% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งนี้ หลังจากที่ให้น้ำหนัก 34% เมื่อวันอังคาร
หุ้นกลุ่มการเงินฟื้นตัว นำโดยหุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส (American Express) ทะยานขึ้น 3.5% หลังจากผู้บริหารด้านการเงินของบริษัทกล่าวว่า ธุรกิจสินเชื่อมีความแข็งแกร่งและการใช้จ่ายของผู้บริโภคมีเสถียรภาพ
ขณะที่หุ้นธนาคารรายใหญ่ดีดตัวขึ้นหลังจากที่ร่วงลงก่อนหน้านี้ โดยหุ้น Goldman Sachs บวก 0.86% หุ้น JPMorgan Chase ปรับตัวขึ้น 0.8% หุ้น Morgan Stanley บวก 0.4%
หุ้นบริษัทผลิตแผงโซลาร์เซลล์พุ่งขึ้นขานรับความหวังที่ว่า อุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์จะได้รับประโยชน์หากแฮร์ริสคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยหุ้น First Solar ทะยานขึ้น 15.2% หุ้น Sunrun พุ่งขึ้น 11.3% และหุ้น SolarEdge Technologies พุ่งขึ้น 8.5%
ข่าวเด่น