ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (19 ก.ย.67) ปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,025.19 จุด เพิ่มขึ้น 522.09 จุด หรือ +1.26%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,713.64 จุด เพิ่มขึ้น 95.38 จุด หรือ +1.70% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,013.98 จุด เพิ่มขึ้น 440.68 จุด หรือ +2.51% หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot เฟดยังส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ยังส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 1.00% ในปี 2568 และลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในปี 2569
แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า คณะกรรมการเฟดมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ซึ่งสอดคล้องกับที่เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวภายหลังการประชุมว่า เงินเฟ้อกำลังอยู่ในทิศทางชะลอตัวลง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง และเขายังไม่เห็นสัญญาณใด ๆ ที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
เจมส์ เรแกน ผู้อำนวยการแผนกวิจัยด้านบริหารความมั่งคั่งของบริษัท D.A. Davidson กล่าวว่า เฟดได้แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นปัจจัยดึงดูดเม็ดเงินให้กลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มที่เคยทำผลงานย่ำแย่ในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่ง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 12,000 ราย สู่ระดับ 219,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 230,000 ราย
หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทะยานขึ้น 3.08% ตามด้วยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 2.20% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวลงมากที่สุด โดยลดลง 0.58% และ 0.57% ตามลำดับ
หุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูงได้รับแรงซื้ออย่างคึกคัก โดยหุ้น Tesla ทะยานขึ้น 7.3% หุ้น Apple พุ่งขึ้น 3.7% หุ้น Meta Platforms พุ่งขึ้น 3.9% ส่วนหุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 4% ซึ่งช่วยหนุนดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟีย (PHLX Semiconductor Index) พุ่งขึ้น 4.3%
ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปต่ำ พุ่งขึ้น 2.1% เนื่องจากนักลงทุนมองว่าการปรับตัวลงของอัตราดอกเบี้ยจะช่วยให้บริษัทในกลุ่มนี้มีต้นทุนการดำเนินงานลดลงและมีกำไรเพิ่มขึ้น
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 2.5% สู่ระดับ 3.86 ล้านยูนิตในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.92 ล้านยูนิต
ข่าวเด่น