ตลาดหุ้นไทยเปิดวันนี้ (2 ต.ค.67) เวลา 9.57 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,461.27 จุด ลบ 3.39 จุด มูลค่าการซื้อขาย 2,407.06 ล้านบาท
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET วันนี้ ได้รับ sentiment ลบ จากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังอิหร่านโจมตีอิสราเอล ทำให้มองกรอบบนยังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1470 จุด อย่างไรก็ตาม คาดเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ช่วยประคองดัชนี ทำให้มองกรอบล่างบริเวณแนวรับ 1445-1450 จุด ยังรองรับได้ ทั้งนี้ คาดดัชนีจะเคลื่อนไหวระหว่างกรอบ 1445-1470 จุด
ช่วงสั้นมอง SET จะยังแกว่งตัว Sideway Up แต่อาจเผชิญแรงขายทำกำไรระยะสั้นเป็นระยะๆ จากปัจจัยภายนอกและจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า ทั้งนี้มองว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับแรงหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยที่จะกลับเข้าสู่ขาลง (คลังและธปท. จะมีการพูดคุยกันในสัปดาห์นี้) และนโยบายผลักดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาทคาดจะยังหนุนการไหลเข้าของ Fund Flow โดยประเมินว่าหาก SET จะปรับขึ้นได้แรง ต้องเกิดจากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร อสังหาฯอิเล็กทรอนิกส์ และท่องเที่ยว ขณะที่หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีก่อนหน้านี้คาดจะยังให้ผลตอบแทนดีต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการของจีนและสหรัฐคาดจะยังชะลอตัวลง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ Selective Buy
โดย 3 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1.หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่ โดยเลือกหุ้น SET100 ที่มีคุณสมบัติ 1) จ่ายเงินปันผลดี โดยให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% 2) มี ESG Ratings สูงตั้งแต่ระดับ A-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB BBL BCP ADVANC HMPRO
2.นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งคาดได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC TIDLOR) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI) กลุ่มค้าปลีก (CPALL) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF) กลุ่ม REITs (LHHOTEL DIF)
3.นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์น้ำท่วม แนะนำ HMPRO GLOBAL CPALL BJC DCC และ TASCO ซึ่งจากสถิติปีที่เกิด La Nina หากลงทุนช่วงครึ่งหลัง ก.ย. และขายต้น พ.ย. คาดหวังจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 5.0%
ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทอย่างรุนแรงใน 3Q67 มองจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อหุ้นที่มีรายได้จากการส่งออก แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนช่วงสั้น ได้แก่ TU GFPT CBG KCE ส่วนนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทแข็งค่า แนะนำ AAV GULF GPSC BCP
หุ้น Top Picks
PTTEP: มองราคาน้ำมันที่แข็งแกร่งในระยะสั้นจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น อีกทั้งราคาหุ้นยังคงปรับขึ้นช้ากว่าราคาน้ำมัน และเป็นหุ้นที่เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีกังวลความไม่สงบในตะวันออกกลาง ขณะที่ผลการดำเนินงานและงบดุลของบริษัทยังแข็งแกร่ง โดยปี 2567 คาดมีกำไรปกติ 8.27 หมื่นลบ. เติบโต 5%YoY ทั้งนี้แนะนำราคาเข้าซื้อวันนี้ไม่เกิน 132.50 บาท
GULF: 2H67 คาดกำไรปกติจะเติบโตแกร่งจากกำลังผลิตใหม่ที่เข้ามาเพิ่ม อาทิ โรงไฟฟ้า IPP ใหม่ GDP หน่วยที่ 4 (662.5MW) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา อีกทั้งยังมองบวกต่อดีลควบรวมระหว่าง GULF และ INTUCH นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลง และ Valuation น่าสนใจ โดยซื้อขาย PER 24F ที่ 33 เท่า (-1.0 SD)
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม
1. อิหร่านยิงขีปนาวุธหลายสิบลูกโจมตีอิสราเอลเพื่อตอบโต้ปฏิบัติการสังหารผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ปธน. สหรัฐฯ สั่งให้กองทัพเข้าช่วยเหลืออิสราเอล กังวลสงครามในตะวันออกกลางอาจลุกลามเป็นวงกว้าง
2. สหรัฐฯ เผยตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ส.ค. เพิ่มขึ้นสู่ 8.04 ล้านตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาด ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิต ก.ย. ปรับตัวลงสู่ระดับ 47.3 โดยดัชนีอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตอยู่ในภาวะหดตัว และเป็นการหดตัวติดต่อกันเดือนที่ 3
3. เงินเฟ้อยูโรโซน ก.ย. อยู่ที่ +1.8%YoY ต่ำกว่าตลาดคาด ปัจจัยหลักมาจากราคาพลังงานที่ลดลงและราคาสินค้าที่ทรงตัว ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าระดับเป้าหมาย 2% เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี หนุนความเป็นไปได้ที่ ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ต.ค.นี้
4. รมว. พาณิชย์จีนและสหรัฐฯ จะมีการประชุมทางโทรศัพท์ในอนาคตเพื่อหารือถึงความสัมพันธ์ด้านการค้าต่อเนื่องจากการประชุมในกรุงปักกิ่งเมื่อเดือนก่อน โดยเฉพาะประเด็นข้อจำกัดเกี่ยวกับ EV และการลงทุน, การคว่ำบาตรรัสเซีย และความกังวลต่อการเก็บภาษีการค้า
5. สรท. เผยภาวการณ์ค้าระหว่างประเทศของไทย ส.ค. 67 พบการส่งออกมีมูลค่า 939,521 ลบ. +13.0%YoY ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 941,019 ลบ. +15.0%YoY ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 1,497 ลบ.
6. คลังจะมีการประชุม ร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรนัดแรก พร้อมเตรียมตั้งคกก. เพื่อนำร่างกฎหมายเสนอ ครม.
7. ผู้ว่าฯ กทม. เผยเตรียมชำระหนี้ก้อนแรก 11,755 ลบ. แก่ BTS ภายใน 180 วัน ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด และคงเหลือหนี้ค้างชำระอีก 2 ก้อนรวม 25,324 ลบ. และยอดหนี้ในอนาคตอีก 800 ลบ./เดือน
ข่าวเด่น