ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (9 ต.ค.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 33.55 บาทต่อดอลลาร์


 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (9 ต.ค.67) ที่ระดับ  33.55 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.49 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาททยอยอ่อนค่าลง  (กรอบการเคลื่อนไหว 33.40-33.61 บาทต่อดอลลาร์) ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เข้าใกล้โซน 4.05% หลังผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายนได้ (โอกาสราว 14% จาก CME FedWatch Tool) นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงการปรับสถานะถือครองสินค้าโภคภัณฑ์ของผู้เล่นในตลาดหลังราคาน้ำมันดิบก็ดิ่งลงแรง ได้กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงเกือบ -50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอยเข้าซื้อทองคำ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังคงถูกจำกัดอยู่แถวโซนแนวต้านใหม่ 33.60 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าวบ้าง อีกทั้งราคาทองคำก็ทยอยรีบาวด์ขึ้นเกือบ +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาท

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังผู้เล่นในตลาดเดินหน้าซื้อบรรดาหุ้นเทคฯ อาทิ Nvidia +4.1% ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นการเข้าซื้อก่อนรับรู้ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มดังกล่าว ที่ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังการเติบโตที่ดีของผลประกอบการอยู่ ขณะที่การปรับตัวลดลงหนักของราคาน้ำมันดิบ หลังผู้เล่นในตลาดผิดหวังกับรายละเอียดใหม่ๆ ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน ได้กดดันให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง อาทิ Exxon Mobil -2.7% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.97% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลดลง -0.55% กดดันโดยแรงขายหุ้นธีม China Recovery ทั้งหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม กลุ่มเหมืองแร่ และกลุ่มพลังงาน อย่าง LVMH -3.6%, Rio Tinto -4.8%, Shell -2.4% หลังผู้เล่นในตลาดต่างผิดหวังว่า ทางการจีน (NDRC) ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ทั้ง SAP +2.4%, ASML +0.6%

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ sideways แถวโซน 4.00% โดยมีจังหวะปรับตัวขึ้นทดสอบโซน 4.05% ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อย ตามแรงซื้อ “Buy on Dip’ ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดทั้งในปีนี้ และปีหน้า เช่น เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ซึ่งอาจต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของข้อมูลตลาดแรงงาน ที่ออกมาสดใส/ดีกว่าคาด รวมถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่อาจไม่ได้ชะลอลงชัดเจนนัก นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ หากสุดท้าย สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้น จนส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันจากตะวันออกกลาง ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นเกินระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และอยู่ในระดับสูงดังกล่าวได้เป็นเวลานานไม่น้อยกว่า 3 เดือน ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้ เฟดมีความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อและอาจชะลอแผนการลดดอกเบี้ยได้ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มกังวลว่าเฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้ รวมถึงความต้องการถือเงินดอลลาร์จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ยังเป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็รอทยอยขายทำกำไรเงินดอลลาร์/ปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์อยู่ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 102.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.3-102.7 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงการปรับสถานะถือครองสินค้าโภคภัณฑ์ของผู้เล่นในตลาดได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลงหนักสู่โซน 2,620- 2,630 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ราคาทองคำจะรีบาวด์ขึ้นบ้างสู่ระดับ 2,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามความต้องการถือทองคำ ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง 

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) ซึ่งจะรับรู้ในช่วงราว 01.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ นี้  เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดก็เริ่มไม่แน่ใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายนได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้ 

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) และธนาคารกลางอินเดีย (RBI) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า RBNZ มีโอกาสลดดอกเบี้ย –50bps สู่ระดับ 4.75% หลังอัตราเงินเฟ้อได้ชะลอลงต่อเนื่อง ขณะเดียวกันภาพรวมเศรษฐกิจก็ชะลอลงพอสมควร ส่วน RBI อาจคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 6.50% แต่ก็อาจเริ่มมีการส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ ตามแนวโน้มการชะลอลงของทั้งเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ   

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังคงรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการตอบโต้อิหร่านของทางการอิสราเอล ว่าจะเป็นไปในลักษณะใดและจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันจากตะวันออกกลางหรือไม่  

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า แม้โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังคงมีอยู่ ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยเงินบาทยังคงติดโซนแนวต้านใหม่แถว 33.60 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากการทยอยขายทำกำไรการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาด (รวมถึงการทยอยขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้ส่งออก) อีกทั้ง ราคาทองคำก็ยังมีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง 

อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่ โดยเรายังคงเห็นแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ ขณะเดียวกัน ความผันผวนของตลาดการเงินจีน หลังล่าสุดผู้เล่นในตลาดก็เริ่มผิดหวังต่อรายละเอียดใหม่ๆ ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน ทำให้เงินหยวนจีน (CNY) เสี่ยงผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง ซึ่งอาจกดดันบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียได้เช่นกัน 

นอกจากนี้ เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครองสินทรัพย์อย่างชัดเจน จนกว่าจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในช่วงวันพฤหัสฯ นี้ได้ ทำให้โดยรวม เงินบาทก็อาจแกว่งตัว sideways ในกรอบ 33.40-33.65 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อน

เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.40-33.65 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 09 ต.ค. 2567 เวลา : 10:02:36

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 2:55 am