ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (8 พ.ย.67) แข็งค่าขึ้นมาก ที่ระดับ 34.02 บาทต่อดอลลาร์


 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (8 พ.ย.67) ที่ระดับ  34.02 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.28 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (กรอบการเคลื่อนไหว 33.92-34.31 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่เผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลัง ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ปรับลดดอกเบี้ยลง -25bps สู่ระดับ 4.75% ตามที่เราประเมินไว้ ทว่า BOE กลับไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า BOE มีโอกาสน้อยราว 22% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธันวาคม นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากการทยอยขายทำกำไรธีม Trump Trades ซึ่งก็มีส่วนกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเช่นกัน และการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีส่วนหนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) รีบาวด์ขึ้นต่อเนื่อง สู่โซน 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นราว +50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ของราคาทองคำ โดยโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงแถวโซนแนวรับ 33.90-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ตามการรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ หลัง ที่ประชุม FOMC ของเฟด ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง -25bps สู่ระดับ 4.50%-4.75% ตามที่เราคาด ทว่าเฟด รวมถึงประธานเฟดก็ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง อีกทั้งเฟดก็ไม่ได้แสดงความมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน พร้อมกับแสดงความกังวลต่อแนวโน้มตลาดแรงงานเหมือนในการประชุมรอบก่อน ซึ่งอาจเป็นเพราะผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ทำให้เฟดและประธานเฟดมีท่าทีดังกล่าวได้ ส่งผลให้บรรดาผู้เล่นในตลาดคงเชื่อว่า เฟดอาจทยอยลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่เฟดได้ระบุไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายน (ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสราว 76% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2025 น้อยกว่าที่เฟดมองว่าจะลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง)

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Meta +3.4%, Nvidia +2.3% ที่ได้อานิสงส์จากการทยอยปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาดจากความหวังอานิสงส์เชิงบวกจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันบ้าง จากแรงขายทำกำไรหุ้นธีม Trump Trades เช่น กลุ่มการเงิน (JPM -4.3%) ทำให้โดยรวม ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.51% ส่วนดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น +0.74% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.62% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ อาทิ SAP +3.6%, ASML +2.3% ขณะเดียวกัน ความหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจากแนวโน้มการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ก็ช่วยหนุนให้หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมและกลุ่มเหมืองแร่ ต่างปรับตัวขึ้น อาทิ Hermes +3.1%, Rio Tinto +3.1% แต่ตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันบ้าง จากแรงขายบรรดาหุ้นอังกฤษ หลัง BOE ไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง 

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลง สู่โซน 4.35% ตามแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดที่ต่างรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ระยะยาว ปรับตัวขึ้น รับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกรณี Republican Sweep หรือ กรณีที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดี การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ชะลอลงบ้าง หลัง เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างเตรียมประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด โดยเริ่มเห็นบรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติ ปรับลดคาดการณ์แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด อาทิ เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง 1-2 ครั้งในปีหน้า ขณะที่ Dot Plot เดือนกันยายนของเฟด ระบุว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 4 ครั้ง ในปีหน้า ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้น สู่ระดับที่มีความน่าสนใจ และมี Risk-Reward ที่คุ้มค่า ทำให้เราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะบอนด์ยีลด์ ปรับตัวสูงขึ้น เพื่อทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ตามแรงขายทำกำไรธีม Trump Trades อีกทั้งเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ก็กลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตามท่าทีของ BOE ที่ไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง หลังเฟดก็ไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่องที่ชัดเจน เช่นกัน ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่โซน 104.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.2-104.9 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) สามารถรีบาวด์ขึ้นสู่โซน 2,710-2,720 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด, ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะหลังรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนพฤศจิกายน ซึ่งอาจมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 71 จุด ดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า พร้อมกันนั้นผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้น และระยะยาว ที่อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้  

นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะกลับมาเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้  
 
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท การพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น อาจทำให้โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทชะลอลงบ้าง แต่เราจะยังคงมั่นใจต่อมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้กลับมาแข็งค่าขึ้นจนทะลุโซนแนวรับ 33.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (ตามกลยุทธ์ Trend-Following) ทั้งนี้ ในระยะสั้น เงินบาทก็อาจแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 33.90-34.25 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อนได้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง หากนักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทย ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทดังกล่าวก็อาจถูกชะลอลงบ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ ซึ่งอาจจะขึ้นกับทิศทางของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางเช่นกัน 

อนึ่ง ในช่วงหลังจากตลาดรับรู้ทั้งผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ และผลการประชุม FOMC ของเฟดล่าสุด เรามองว่า ควรจับตาสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยเช่นกัน เพราะความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย อาจเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ ในกรณีที่บรรดานักลงทุนต่างชาติเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทย หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาท เพราะนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทย จนกว่าจะมั่นใจในสถานการณ์การ

ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงในตลาด ลักษณะ Two-Way Volatility ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงการปรับมุมมองต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางไปมา ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.95-34.20 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 08 พ.ย. 2567 เวลา : 11:06:07

03-01-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ January 3, 2025, 12:41 am