ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (26 ธ.ค.67) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,325.80 จุด เพิ่มขึ้น 28.77 จุด เพิ่มขึ้น +0.07% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,037.59 จุด ลดลง 2.45 จุด หรือ -0.04% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,020.36 จุด ลดลง 10.77 จุด หรือ -0.05%
โดยตลาดถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ที่พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.64% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค.
การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเป็นปัจจัยฉุดหุ้นเติบโต (Growth stocks) และหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง โดยเฉพาะหุ้น 7 บริษัทในกลุ่ม Magnificent Seven โดยหุ้นเทสลา (Tesla) ร่วงลง 1.8% ส่วนหุ้นไมโครซอฟท์ (Microsoft) หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) หุ้นอัลฟาเบท (Alphabet) และหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) ต่างก็ปิดในแดนลบ
หุ้น 5 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มบริการด้านการสื่อสารปรับตัวลง 0.64% และ 0.36% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มเฮลธ์แคร์ ดีดตัวขึ้น 0.21% และ 0.16% ตามลำดับ
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบล็อกเชน ปรับตัวลง หลังจากราคาบิตคอยน์ร่วงลง 3% โดยหุ้นไมโครสตราเทจี (Microstrategy) ดิ่งลง 4.78% หุ้นเอ็มเออาร์เอ โฮลดิงส์ (MARA Holdings) ร่วงลง 4.22% และหุ้นคอยน์เบส โกลบอล (Coinbase Global) ร่วงลง 1.86%
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 1,000 ราย สู่ระดับ 219,000 ราย ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 224,000 ราย
ข่าวเด่น