ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (13 ม.ค.68) บรรยากาศการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวนดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,297.12 จุด เพิ่มขึ้น 358.67 จุด หรือ +0.86% โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 3.93% หลังจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้นำเสนออัตราการเบิกจ่ายในโครงการประกันสุขภาพ “Medicare Advantage” สำหรับปี 2569 ที่ดำเนินการโดยบริษัทประกันเอกชน โดยเสนอให้มีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้น 2.2% นอกจากนี้ หุ้นบริษัทประกันสุขภาพรายอื่น ๆ ดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นซีวีเอส เฮลธ์ (CVS Health) และหุ้นฮิวมานา (Humana) ปรับตัวขึ้น 7%
ขณะที่ ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,836.22 จุด เพิ่มขึ้น 9.18 จุด หรือ +0.16% สวนทางกับดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,088.10 จุด ลดลง 73.53 จุด หรือ -0.38% ซึ่งร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน โดยถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ที่พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.805 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนเมื่อคืนนี้ และส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาด นอกจากนี้ ตลาดยังมีความวิตกกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ จากข้อมูลตัวเลขการจ้างงาน ที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งและยังคงเผชิญกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 97.3% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 28-29 ม.ค. นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค.,พ.ค.,มิ.ย.และก.ค. ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวในการประชุมที่เหลือจนสิ้นปี 2568
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนธ.ค.ของสหรัฐฯ ในวันพรุ่งนี้ (15 ม.ค.) ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI จะปรับตัวขึ้น 2.9% ในเดือนธ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนพ.ย. และคาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 3.3% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนพ.ย.67
ข่าวเด่น