ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (6 ก.พ.68) ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง ที่ระดับ 33.57 บาทต่อดอลลาร์


 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (6 ก.พ.68) ที่ระดับ  33.57 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.49-33.62 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูล ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ของสหรัฐฯ ออกมา เพิ่มขึ้น 1.83 แสนตำแหน่ง ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง สอดคล้องกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลัง รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 52.8 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้พอสมควร ส่งผลให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มโอกาสที่เฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้ เป็น 84% นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หนุนให้ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ธีม AI/Semiconductor อย่าง Nvidia +5.2% รวมถึงรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส ยกเว้นในส่วนของ Alphabet -7.3% ที่รายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวัง และมีการเปิดเผยแผนการลงทุนด้าน AI ที่สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดเพียง +0.39%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.47% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส อาทิ Novo Nordisk +4.5% ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง ตามการปรับตัวลงของบรรดาหุ้นกลุ่มยานยนต์ หลังมีรายงานว่า Nissan อาจยกเลิกการเจรจาควบควมกิจการกับ Honda กดดันให้ราคาหุ้นบริษัท Renault (ที่เป็นผู้ถือหุ้นสำคัญของ Nissan) -2.6% 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.43% หลังรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่อาจผันผวนสูงขึ้นได้บ้าง ขึ้นกับแนวโน้มการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 รวมถึงการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในคืนวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย ทำให้เราคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) เพื่อให้ได้ Risk-Reward ที่มีความน่าสนใจและคุ้มค่า

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยมีจังหวะอ่อนค่าลง ตามบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ส่งผลให้โดยรวมเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวแถวโซน 107.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 107.3-107.7 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีจังหวะปรับตัวลดลงบ้าง หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ ทว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน รวมถึงแรงขายทำกำไรทองคำ ได้จำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 2,880-2,890 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งบรรดาผู้เล่นในตลาดและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ต่างมองว่า BOE จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.50% ในการประชุมครั้งนี้ (เรามองต่าง ว่า BOE อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อน หลังอัตราเงินเฟ้อและอัตราการเติบโตของค่าจ้างยังอยู่ในระดับสูง) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE โดยเฉพาะผู้ว่าฯ BOE เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างให้โอกาสราว 36% ที่ BOE จะลดดอกเบี้ยได้ 4 ครั้ง หรือ 100bps ในปีนี้ 

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของเวียดนามในเดือนมกราคม อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ CPI ส่วนทางฝั่งไทย เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) ในเดือนมกราคม จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.32% (+0.10% จากเดือนก่อนหน้า) ตามอานิสงส์จากระดับฐานราคาที่ต่ำในปีก่อนหน้า อีกทั้งราคาสินค้าหมวดอาหารก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ทว่าปัจจัยกดดันจะมาจากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมัน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) อาจทรงตัวแถวระดับ 0.80% 

และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายของเฟด ภายใต้ความไม่แน่นอนของนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงรอติดตามท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า (รอจับตาว่า ทางการสหรัฐฯ จะมีการเจรจากับทางการจีน จนอาจนำไปสู่การชะลอมาตรการเก็บภาษีนำเข้าได้หรือไม่) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ  

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัวในกรอบ Sideways หากประเมินตามกลยุทธ์ Trend Following ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้กลับมาอ่อนค่าลงชัดเจน เหนือโซนแนวต้าน 34.10 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมา เงินบาทได้รับอานิสงส์จากการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาทองคำพอสมควร ซึ่งปัจจุบัน หากประเมินในเชิงเทคนิคัล ราคาทองคำก็เสี่ยงที่จะมีจังหวะย่อตัวลงมาบ้าง โดยการปรับตัวลงของราคาทองคำก็อาจถูกเร่งได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ในช่วงนี้ อย่าง ข้อมูลการจ้างงาน ออกมาดีกว่าคาด 

อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่าย นัก จนกว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยสำคัญต่อตลาดการเงินในช่วงนี้ ทั้ง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งอาจต้องเห็นการปรับเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง หรือ ต้องเริ่มเห็นการคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่า 2 ครั้ง ซึ่งเรามองว่า กรณีดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน นอกจากนี้ ควรจะต้องเห็นความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่คลี่คลายลงด้วย ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ ในกรณีที่ ผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำจีน เริ่มเจรจา เพื่อยุติหรือชะลอมาตรการเก็บภาษีนำเข้าที่ได้ประกาศออกมาในช่วงนี้ 

แต่หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง ก็อาจเปิดโอกาสให้เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นสู่โซน 33.20-33.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก ท่ามกลางการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะในฝั่งผู้เล่นที่มีสถานะ Net Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) 
 
อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOE และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ เพราะหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดชัดเจน ส่วน BOE ก็ลดดอกเบี้ยตามคาด และส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ก็อาจหนุนให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นได้พอสมควร (ส่วนเงินปอนด์อังกฤษ เสี่ยงอ่อนค่าลงได้) กดดันให้เงินบาทมีโอกาสทยอยกลับมาอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 33.70-33.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้ นอกจากนี้ ยังคงต้องติดตามทิศทางราคาทองคำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเงินบาทได้พอสมควรในระยะนี้ 

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.45-33.75 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 06 ก.พ. 2568 เวลา : 11:05:52

12-03-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ March 12, 2025, 11:29 am