นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (7 มี.ค.68) ที่ระดับ 33.73 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.75 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหว Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.63-33.76 บาทต่อดอลลาร์) ตามการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ของทั้งเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยในช่วงแรก เงินดอลลาร์มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) หลังรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งแม้จะมีการลดดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ลง 25bps สู่ระดับ 2.50% ตามคาด ทว่า ECB ได้ส่งสัญญาณว่า การปรับลดดอกเบี้ยล่าสุด ได้ทำให้นโยบายการเงินมีความตึงตัวลดลงอย่างมาก (Meaningfully Less Restrictive) สะท้อนว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกไม่มากนัก อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็กลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นได้ ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดการเงินสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลต่อความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ
บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) กดดันโดยความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างก็เดินหน้าขายหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Nvidia -5.7%, Tesla -5.6%, Amazon -3.7% ทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -2.61% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.78%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.03% โดยตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนอยู่บ้างจากการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นกลุ่มยานยนต์ อาทิ BMW +4.3% หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ชะลอการเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มยานยนต์กับเม็กซิโกและแคนาดา ทว่าตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันอยู่บ้างจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม และยา ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งสินค้าจากยุโรปก็อาจเผชิญการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมได้
ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน แม้ว่าจะมีจังหวะปรับตัวขึ้นทะลุโซน 4.30% ทว่า ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง สู่ระดับ 4.26% ทั้งนี้ เราคงแนะนำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยไม่ไล่ราคาซื้อ ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลง
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ Sideways แม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) หลังตลาดรับรู้ผลการประชุม ECB แต่เงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 104.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.7-104.3 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินและความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ จะพอช่วยหนุนราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) ทว่า ราคาทองคำก็เผชิญแรงกดดันบ้าง ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของผู้เล่นในตลาด ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 2,910-2,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ (ทยอยรับรู้ในช่วง 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) ทั้ง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 1 ครั้ง ในปีหน้า (Fully Priced-In)
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) ของจีนในเดือนกุมภาพันธ์ ทางฝั่งไทย เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) เดือนกุมภาพันธ์ มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า สู่ระดับ 0.82% (ตลาดคาดการณ์ 1.10%) แต่ เราประเมินว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่ได้กังวลต่อแนวโน้มการชะลอลงของอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว จนกว่าจะเห็นสัดส่วนของสินค้าและบริการที่มีราคาปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เพิ่มมากขึ้น และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานปลางเริ่มปรับตัวลดลงชัดเจน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ในช่วงระหว่างวัน เงินบาท (USDTHB) อาจแกว่งตัว Sideways ก่อนที่ตลาดจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้ โดยโซนแนวรับของเงินบาทก็อาจอยู่ในช่วง 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านของเงินบาทก็ดูจะติดอยู่แถว 33.80 บาทต่อดอลลาร์ โดยจะมีโซนแนวต้านสำคัญถัดไปแถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐฯ (Nonfarm Payrolls) เนื่องจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) อาจแกว่งตัวได้ถึง +0.57%/-0.32% ในช่วง 30 นาที หลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว
โดยหากประเมินจากมุมมองของบรรดานักวิเคราะห์ในตลาด จะเห็นได้บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ยอดการจ้างงานฯ ของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นราว +1.6 แสนตำแหน่ง แต่ก็มีบางส่วนที่มองว่า ยอดการจ้างงานฯ อาจเพิ่มขึ้นต่ำกว่า +1 แสนตำแหน่ง ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เฟดจะมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 1 ครั้ง ในปีหน้า ไปเต็มที่แล้ว (Fully Priced-In) ทำให้ หากยอดการจ้างงานฯ ของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด หรือตามคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง ในปีนี้ ลงบ้าง หนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท แต่หากยอดการจ้างงานฯ ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน เช่น เพิ่มขึ้น น้อยกว่า +1 แสนตำแหน่งไปมาก ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างยิ่งกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้มากกว่า 3 ครั้งในปีนี้ หรืออาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่า 1 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งภาพดังกล่าวก็อาจกดดันเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ไม่ยาก ซึ่งเงินบาทก็เสี่ยงแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ ได้
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.55-33.95 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ)
ข่าวเด่น