ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (21 เม.ย.68) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 33.27 บาทต่อดอลลาร์


นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (21 เม.ย.68) ที่ระดับ  33.27 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  33.44 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 33.24-33.46 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่า เงินบาทจะแกว่งตัวในกรอบ Sideways ในช่วงวันศุกร์ เนื่องจากเป็นวันหยุดของตลาดการเงินฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ เนื่องในวันหยุด Good Friday ทว่า เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ในช่วงเช้าวันจันทร์ หลังความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงกดดันความเชื่อมั่นของผู้เล่นในตลาดต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ส่งผลให้เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการทยอยเพิ่มสถานะ Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาด นอกจากนี้ ราคาทองคำก็สามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้น เข้าใกล้จุดสูงสุดก่อนหน้า หนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท (Correlation ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ยังคงสูงถึง 82%)

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้น สู่ระดับแข็งค่าสุดในรอบเกินครึ่งปี ตามการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของราคาทองคำ และแรงซื้อบอนด์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ ส่วนเงินดอลลาร์ยังคงทยอยอ่อนค่าลง

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรจับตารายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก พร้อมรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

 
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

* ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) เดือนเมษายน รวมถึงรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Tesla และ Alphabet ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้ 

* ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ของยูโรโซนและอังกฤษ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) พร้อมทั้งรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และ BOE โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้ง ส่วน BOE มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 3-4 ครั้ง ในปีนี้   

* ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของญี่ปุ่น ในเดือนเมษายน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยล่าสุด ความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดคาดว่า BOJ มีโอกาสราว 41% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้ ในส่วนของนโยบายการเงิน เราคาดว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.75% เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียะห์ (IDR) และรอประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจอินโดนีเซียจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง

* ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) เดือนมีนาคม เพื่อประเมินว่า ยอดการส่งออกของไทย เริ่มเผชิญผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ มากน้อยเพียงใด หลังในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ยอดการส่งออกเร่งตัวขึ้นและขยายตัวได้เกิน +10%y/y ตามการเร่งนำเข้าสินค้า จากความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ นอกเหนือจากรายงานข้อมูลดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทมีแนวโน้มชะลอตัวลงบ้าง ทำให้เงินบาทมีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ Sideways โดยในสัปดาห์ 21-25 เมษายน นั้น เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติที่อาจสูงราว 1 หมื่นล้านบาท (ประเมินจากบรรดาบริษัทจดทะเบียน) ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำอย่างใกล้ชิด (ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทราว 82% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา) หลังราคาทองคำเริ่มเผชิญแรงขายทำกำไรพอสมควร ซึ่งหากราคาทองคำย่อตัวลง เข้าสู่ช่วงการพักฐาน ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้ ในเชิงเทคนิคัลนั้น เงินบาทจะกลับมายังอยู่ในแนวโน้มการอ่อนค่าได้อีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following ทั้งนี้ แนวรับของเงินบาทยังอยู่ในช่วง 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนโซนแนวต้านจะอยู่แถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 33.85 บาทต่อดอลลาร์)

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทอาจชะลอลง โดยเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ ทว่า ยังคงต้องจับตาทิศทางเงินหยวนจีนและราคาทองคำ อย่างใกล้ชิด ส่วนฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติยังมีความผันผวนอยู่ ซึ่งจะขึ้นกับบรรยากาศในตลาดการเงิน โดยต้องรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนไทยด้วยเช่นกัน 

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจรีบาวด์ขึ้นบ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ ที่ออกมาสดใส อาจช่วยหนุนการรีบาวด์ของเงินดอลลาร์ได้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.00-33.65 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.15-33.35 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : วันที่ : 21 เม.ย. 2568 เวลา : 10:55:46

23-04-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 23, 2025, 7:51 am