(225)(236).jpg)
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (1 ก.ค.68) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 44,494.94 จุด เพิ่มขึ้น 400.17 จุด หรือ +0.91% แต่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,198.01 จุด ลดลง 6.94 จุด หรือ -0.11% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,202.89 จุด ลดลง 166.84 จุด หรือ -0.82% เนื่องจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง ขณะที่นักลงทุนประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากร่างกฎหมายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ดัชนีดาวโจนส์ได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจ เช่น หุ้นกลุ่มวัสดุและหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปต่ำ รวมทั้งยังได้ปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มขนส่ง โดยดัชนี Dow Transportation Index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดภาวะเศรษฐกิจ พุ่งขึ้น 2.9% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นในวันเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.
วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติด้วยคะแนนเสียงฉิวเฉียด 51 ต่อ 50 ให้การอนุมัติร่างกฎหมายปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล รวมทั้งการใช้จ่ายขนานใหญ่ที่นำเสนอโดยปธน.ทรัมป์ หลังเสร็จสิ้นการอภิปรายในวันอังคาร โดยวุฒิสภาจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ก่อนที่จะส่งให้ปธน.ทรัมป์ลงนามเป็นกฎหมายภายในวันที่ 4 ก.ค.
นักลงทุนกำลังประเมินว่าร่างกฎหมายดังกล่าวของทรัมป์จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหรือทำให้รัฐบาลก่อหนี้เพิ่ม ขณะที่สำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐฯ (CBO) ออกรายงานเตือนว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะทำให้หนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์
นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากร หลังจากปธน.ทรัมป์ยืนยันว่าเขาไม่มีแผนที่จะขยายระยะเวลาผ่อนผันการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศคู่ค้าหลังจากวันที่ 9 ก.ค. ซึ่งเป็นเส้นตายที่เขากำหนดไว้ และรัฐบาลของเขาจะส่งจดหมายแจ้งไปยังประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บกับประเทศดังกล่าว เว้นแต่จะสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ
ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ต่างก็ปิดในแดนลบ เนื่องจากแรงขายหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูงและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โดยหุ้นกลุ่มดังกล่าวพุ่งขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และส่งผลให้ตลาดเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรง
หุ้นเทสลา (Tesla) ร่วงลง 5.4% หลังจากปธน.ทรัมป์ขู่ว่าจะตัดเงินอุดหนุนหลายพันล้านดอลลาร์ที่บริษัทของอีลอน มัสก์ ได้รับจากรัฐบาลกลาง ภายหลังจากที่มัสก์ได้กลับมาวิพากษ์วิจารณ์ร่างกฎหมายปรับลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายขนานใหญ่ของปธน.ทรัมป์อีกครั้ง
เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวในงานเสวนาซึ่งธนาคารกลางยุโรป (ECB) เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่เมืองซินตรา ประเทศโปรตุเกส เมื่อวานนี้ โดยพาวเวลย้ำว่าเฟดยังคงใช้แนวทางการรอดูและประเมินผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรที่จะมีต่อเงินเฟ้อ ก่อนที่เฟดจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พาวเวลปฏิเสธข้อเรียกร้องของปธน.ทรัมป์ที่ต้องการให้เฟดเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน เพิ่มขึ้น 374,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.769 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.30 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 7.395 ล้านตำแหน่งในเดือนเม.ย.
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 49.0 ในเดือนมิ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 48.8 จากระดับ 48.5 ในเดือนพ.ค. แต่ดัชนียังคงปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของภาคการผลิต
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 120,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 139,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.3% ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 4.2% ในเดือนพ.ค.
ข่าวเด่น