(279)(342).jpg)
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (18 ก.ย.68) ที่ระดับ 31.80 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.73 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 31.85 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.60-31.83 บาทต่อดอลลาร์) หลังเฟดมีมติลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.00-4.25% ตามที่ตลาดคาด ทว่า คาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot ใหม่ของเฟด กลับสะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดคาดหวังไว้ (จำนวนการลดดอกเบี้ยของเฟดในปี 2025 2026 2027 คือ 3-1-1 ขณะที่ตลาดประเมิน 3-3-0) อีกทั้งเฟดก็ไม่ได้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ แย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องกับถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ที่ระบุว่า การลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ ถือเป็น การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) หลังตลาดแรงงานสหรัฐฯ ชะลอตัวลงมากขึ้น พร้อมย้ำจุดยืนของเฟดที่จะพิจารณาการดำเนินนโยบายการเงินอย่างรอบคอบขึ้นกับข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้รับ โดยไม่มี Preset Path ของแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบาย และการดำเนินงานของเฟดก็มีความเป็นกลาง ไม่ขึ้นกับอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งภาพดังกล่าวได้ส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลดลง ส่วนเงินบาทก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน หลังรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟดในเดือนกันยายน ที่แม้เฟดจะลดดอกเบี้ย 25bps ตามคาด ทว่า เฟดกลับไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยมากเท่ากับที่ตลาดคาดหวัง สร้างแรงกดดันต่อบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ Nvidia -2.6%, Amazon -1.0% ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.10% ขณะที่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อตัวลง -0.33%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวเล็กน้อย -0.03% หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรป แม้จะพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และบริษัทยาขนาดใหญ่ บางส่วน แต่ก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน ตามแรงขายทำกำไรและการย่อตัวลงบ้างของราคาน้ำมันดิบ
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของเฟดที่สะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในอนาคต น้อยกว่า ที่ตลาดคาดหวัง ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.08% สอดคล้องกับมุมมองของเราก่อนหน้า ที่ประเมินว่า ในช่วงระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่อาจจะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง หากผลการประชุม FOMC ของเฟดเดือนกันยายน ไม่ได้เป็นไปตามที่ตลาดคาดหวัง ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง โดยเฉพาะแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้า และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในระยะยาว (Long-run rate) อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (ไม่ควรไล่ราคาซื้อ เนื่องจากในช่วงนี้ Risk-Reward อาจไม่คุ้มค่า) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังเฟดส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยในอนาคต น้อยกว่าที่ตลาดคาดหวัง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวสูงขึ้นสู่โซน 96.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 96.2-97.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด ที่สะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ย น้อยกว่าที่ตลาดคาดหวัง ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) พลิกกลับมาปรับตัวลดลง สู่โซน 3,690-3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งเราประเมินว่า BOE อาจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.00% หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนสิงหาคม ยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกัน ตลาดแรงงานอังกฤษก็ยังไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) หลังข้อมูลในสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ได้พุ่งสูงขึ้นมากกว่าคาด ทำให้ ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลแนวโน้มการชะลอตัวลงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ (แม้ว่าจะมีการเปิดเผยในภายหลังว่า ยอดดังกล่าวที่พุ่งสูงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการทุจริตยื่นขอรับสวัสดิการการว่างงานในรัฐเท็กซัส) พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานภาวะภาคธุรกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ อาทิ Philadelphia Fed
และในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ของเช้าวันศุกร์นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม ซึ่งอาจมีผลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะมีการประชุมนโยบายการเงินในวันศุกร์เช่นกัน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดจาก Dot Plot ล่าสุด ที่น้อยกว่า ความคาดหวังของตลาด อาจเป็นปัจจัยหนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยรีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง ตามที่เราได้ประเมินในวันก่อนหน้า ซึ่งภาพดังกล่าว จะสามารถกดดันราคาทองคำ และเงินบาทได้ในระยะสั้น จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
โดยเรามองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ทดสอบโซนแนวต้าน 31.85 บาทต่อดอลลาร์ ทว่า การอ่อนค่าเหนือโซนดังกล่าว ก็อาจค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน แต่ทว่า หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงกลับเข้าสู่แนวโน้มการอ่อนค่าลงอีกครั้ง เมื่อพิจารณาจากกลยุทธ์ Trend-Following อีกทั้ง เราพบว่า บรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติหลายแห่ง ได้ทยอยประเมินความเสี่ยงเงินบาทอาจอ่อนค่าลง และเมีการแนะนำ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ซึ่งหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง ก็อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรม Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) เพิ่มเติม จากบรรดาผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นต่างชาติ
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างมีนัยสำคัญนัก จนกว่าจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ทว่า ในระยะสั้น อย่าง คืนนี้ เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ของสหรัฐฯ หลังในสัปดาห์ก่อนหน้า ข้อมูลที่แย่กว่าคาด ทำให้ ผู้เล่นในตลาดกังวลแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ และเพิ่มความมั่นใจต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งสุดท้าย เฟดยังคงส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย)
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.75-32.00 บาท/ดอลลาร์
ข่าวเด่น