ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (22 ก.ย.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 31.87 บาทต่อดอลลาร์


นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (22 ก.ย.68) ที่ระดับ  31.87 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  31.84 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน แถวโซนแนวต้าน 31.85 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.80-31.92 บาทต่อดอลลาร์) แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ทว่า การรีบาวด์ปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) สู่โซน 3,685 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด หลังเงินบาทได้อ่อนค่าเข้าใกล้โซนแนวต้าน ก็มีส่วนช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท ทำให้เงินบาทยังคงไม่สามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้อย่างชัดเจน

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น หลัง Dot Plot ล่าสุด สะท้อนว่า เฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ตลาดคาดหวังไว้

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก พร้อมรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

 
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

* ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดย S&P Global (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนกันยายน พร้อมรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนสิงหาคม และรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) โดยข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้ ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างคงมองว่า เฟดยังมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ในปี 2026 จบรอบการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะต่างจากคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ล่าสุดของเฟด ที่สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยอีกราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 1 ครั้ง ในปี 2026 และ 2027 

* ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนกันยายน จากทั้งฝั่งยูโรโซนและอังกฤษ พร้อมทั้งรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ที่สำรวจโดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า ECB อาจจบรอบการลดดอกเบี้ยแล้ว (โอกาสลดดอกเบี้ย 25bps ในปีนี้ อยู่ที่เพียง 15%)

* ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเศรษฐกิจญี่ปุ่น ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนกันยายน และรอติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกันยายน ของกรุงโตเกียว ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม การประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้ชั้นดี (Loan Prime Rate) ประเภท 1 ปี และ 5 ปี จากทางธนาคารกลางจีน (PBOC) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า LPR 1 ปี และ 5 ปี จะยังคงอยู่ที่ระดับ 3.00% และ 3.50% จนกว่าทาง PBOC จะเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งอาจต้องเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจอย่างชัดเจน    

* ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ในเดือนสิงหาคม ซึ่งอาจสะท้อนการเติบโตของยอดการส่งออกที่ชะลอลงจากเดือนก่อนๆ โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า ยอดการส่งออกเดือนสิงหาคม อาจขยายตัวราว +7%y/y ชะลอลงจากที่โตกว่า +11% ในเดือนก่อน

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าแบบค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ในกรณีที่เงินดอลลาร์ทยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะผู้เล่นต่างชาติ ต่างก็รอทยอยปรับสถานะถือครองและเริ่มมีมุมมองเชิงลบต่อเงินบาทมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากบรรดาบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ต่างชาติที่ต่างมองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงและมีความน่าสนใจที่จะเริ่มทยอยเพิ่มสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) นอกจากนี้ แรงขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย จากฝั่งนักลงทุนต่างชาติก็อาจยังคงดำเนินต่อไปได้ เพิ่มแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท ขณะที่แรงขายบอนด์ไทย จากนักลงทุนต่างชาติ อาจชะลอลงบ้าง ยกเว้นบอนด์ยีลด์ไทยจะปรับตัวลงต่อเนื่องพอสมควร เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรสถานะลงทุนในบอนด์ไทย

อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องไปได้ง่ายนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาด อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน ในช่วง 31.85 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 32.00 บาทต่อดอลลาร์ และ 32.30 บาทต่อดอลลาร์) เราจะมั่นใจมากขึ้นว่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ตามกลยุทธ์ Trend-Following) 

ในทางกลับกัน หากเงินบาทได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า เราประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดแถวโซนแนวรับ 31.50-31.60 บาทต่อดอลลาร์ ได้

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์สามารถแข็งค่าขึ้นต่อได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาสดใส ดีกว่าคาดต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง ทว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.50-32.10 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.75-31.95 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 22 ก.ย. 2568 เวลา : 10:49:48

23-09-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 23, 2025, 5:43 pm