(225)(282).jpg)
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (22 ก.ย.68) ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันวันที่ 3 โดย ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 46,381.54 จุด เพิ่มขึ้น 66.27 จุด หรือ +0.14%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,693.75 จุด เพิ่มขึ้น 29.39 จุด หรือ +0.44% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,788.98 จุด เพิ่มขึ้น 157.50 จุด หรือ +0.70% เนื่องจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นปัจจัยหนุนตลาด
หุ้น 5 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.74% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวขึ้น 0.92% ส่วนหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารปรับตัวลง 0.92% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคลดลง 0.9%
หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) พุ่งขึ้น 4.3% ปิดที่ระดับ 256.08 ดอลลาร์ หลังจากบริษัทหลักทรัพย์ Wedbush ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นแอปเปิ้ลขึ้นสู่ระดับ 310 ดอลลาร์ จากระดับ 270 ดอลลาร์ หลังมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของอุปสงค์ iPhone 17 ขณะที่หุ้นเทสลา (Tesla) ดีดตัวขึ้น 1.9%
หุ้นเคนวิว (Kenvue) ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาไทลินอล (Tylenol) ปิดตลาดร่วงลง 7.47% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมประกาศว่าการใช้ยาบรรเทาปวดไทลินอลระหว่างตั้งครรภ์ อาจมีความเชื่อมโยงกับภาวะออทิซึม
หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 3.9% หลังจากอินวิเดียประกาศลงทุนในบริษัทโอเพนเอไอ (OpenAI) สูงถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ และจะจัดหาชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลให้กับโอเพนเอไอ ซึ่งความร่วมมือระหว่างบริษัทที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในวงการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระดับโลกนี้ จะยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นในโอกาสการเติบโตของ AI
ทั้งนี้ หลังตลาดปิดทำการโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) จะแนะนำให้แพทย์เตือนสตรีมีครรภ์ไม่ให้ใช้ยาอะเซตามิโนเฟน (พาราเซตามอล) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในยาไทลินอล แต่หลังจากการประกาศดังกล่าว หุ้นเคนวิว ดีดตัวขึ้น 4.7% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับข่าวปธน.ทรัมป์ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B เป็น 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งคาดว่านโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Microsoft และ Google ที่พึ่งพาโครงการ H-1B มายาวนาน โดยเฉพาะตำแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่บางคนของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (FED) ได้แสดงความสงสัยถึงความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม หลังจากที่เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ก.ย. ซึ่งเป็นการปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2567 พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะปรับลดเพิ่มเติมในการประชุมครั้งต่อ ๆ ไป
อัลเบอร์โต มูซาเลม ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ และราฟาเอล บอสติก ประธานเฟด สาขาแอตแลนตา ระบุว่า แม้การปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นสิ่งที่เหมาะสมเพื่อจัดการกับความเสี่ยงอันเนื่องมาจากอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น แต่การฉุดเงินเฟ้อให้ลดลงยังคงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
สตีเฟน มิแรน หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟดซึ่งโหวตสวนมติในที่ประชุมเฟดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วยการสนับสนุนให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% ได้แสดงความเห็นในวันจันทร์ว่า นโยบายการเงินของเฟดในขณะนี้ถือเป็นระดับที่เข้มงวดแล้ว
นักลงทุนจับตาเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมว่าด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่ Greater Providence Chamber of Commerce (GPCC) ในวันนี้ (23 ก.ย.) เวลา 12.35 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 23.35 น.ตามเวลาไทย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2568 และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนส.ค. โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
ข่าวเด่น