ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (1 ต.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์


 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (1 ต.ค.68) ที่ระดับ  32.47 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.39 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.38-32.49 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าโดยรวม เงินดอลลาร์จะเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ท่ามกลางรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน โดยยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) เดือนสิงหาคม ปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 7.227 ล้านตำแหน่ง ดีกว่าที่ตลาดคาด ทว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) เดือนกันยายน กลับปรับตัวลดลงสู่ระดับ 94.2 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาด แต่เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นที่มีสถานะ Long THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) หลังเงินบาทได้ทยอยอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้านอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ราคาทองคำที่ทยอยรีบาวด์สูงขึ้น หลังปรับตัวลงหนักในช่วงราว 17.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ก็มีส่วนกดดันเงินบาทผ่านโฟลว์ธุรกรรมไล่ซื้อทองคำของผู้เล่นในตลาด จากความเสี่ยงสหรัฐฯ เผชิญภาวะ Government Shutdown ที่เพิ่มสูงขึ้น (ผู้เล่นในตลาดพนัน Polymarket ให้โอกาส 99% ที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะ Government Shutdown)

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากความกังวลสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown โดยบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ยังคงปรับตัวสูงขึ้นได้ อาทิ Nvidia +2.6% นอกจากนี้ การประกาศนโยบาย Most Favored Nation ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลดราคายาในสหรัฐฯ สำหรับผู้มีรายได้น้อย ได้หนุนให้บรรดาหุ้นบริษัทยาขนาดใหญ่ ต่างปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผู้เล่นในตลาดคาดหวังว่า หากมีดีลปรับลดราคายาดังกล่าวเกิดขึ้น อาจทำให้บริษัทไม่เผชิญภาษีนำเข้ายาในระดับสูงได้  ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.41% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.48% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor รวมถึงกลุ่มยา ทว่า ตลาดหุ้นยุโรป ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell -1.8% ท่ามกลาง การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ จากความกังวลแนวโน้มการเพิ่มกำลังการผลิตจากกลุ่ม OPEC+

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร ในกรอบ 4.10%-4.16% ตามรายงานข่าวเกี่ยวกับความเสี่ยงภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า สหรัฐฯ อาจเผชิญภาวะ Government Shutdown ในระยะสั้น ทำให้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอย่าง ข้อมูลการจ้างงาน อาจมีการเลื่อนประกาศออกไปในช่วงนี้ อนึ่ง เราย้ำว่า ในช่วงระยะสั้น ควรจับตารายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน อีกทั้ง สหรัฐฯ ก็เสี่ยงเผชิญภาวะ Government Shutdown ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวโซน 97.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.6-97.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อแนวโน้มสหรัฐฯ เผชิญภาวะ Government Shutdown ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) รีบาวด์สูงขึ้นต่อเนื่อง หลังจากย่อตัวลงหนักในช่วงก่อนหน้าจากแรงขายทำกำไร สู่โซน 3,880 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ในเดือนกันยายน หลังจากที่รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน โดยทางการสหรัฐฯ อาจถูกเลื่อนประกาศออกไป หากสหรัฐฯ เผชิญภาวะ Government Shutdown นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) เดือนกันยายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดอาจให้ความสนใจกับ ดัชนีย่อยในส่วนของการจ้างงานเป็นพิเศษ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด 

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB รวมถึง รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกันยายน 

ทางฝั่งเอเชียนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% ตามเดิม แต่ RBI อาจสามารถทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในอนาคต เพื่อช่วยหนุนภาพรวมเศรษฐกิจ 

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ประเด็นความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะ Government Shutdown (ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า สหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้)

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ และเงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลง (อย่างน้อยในระยะสั้น) นอกจากนี้ เงินบาทอาจเผชิญปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หากผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ทยอยปรับลดสถานะดังกล่าว หรือเริ่มมีการ Stop Loss หลังเงินบาทได้ทยอยอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้านอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ 

และแม้ว่า ราคาทองคำจะทยอยปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ แต่จะเห็นได้ว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว กลับไม่ได้ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเหมือนในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำได้เปลี่ยนแปลงไป กระทบต่อ Correlation Trade และส่วนหนึ่ง การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในระยะสั้น อย่างรวดเร็ว อาจเร่งให้ผู้เล่นในตลาดกลับเข้าซื้อทองคำมากขึ้น เกิดเป็นโฟลว์ธุรกรรม FOMO Buy ทองคำ ที่จะกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ นอกจากนี้ เรามองว่า ไม่ว่า ภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ จะเกิดขึ้น หรือ ไม่นั้น ราคาทองคำก็เสี่ยงปรับฐานได้ในระยะสั้น ทำให้ เรามองว่า แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำจะยังมีอยู่ 

ในส่วนของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาตินั้น เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติยังมีโอกาสทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นไทย ทำให้เงินบาทยังมีโอกาสเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติมได้ 

อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนบ้าง หลังผู้เล่นในตลาด อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน ขณะเดียวกัน ควรรอลุ้น รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP รวมถึง รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิต เพราะหากข้อมูลดังกล่าวออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอลงมากขึ้น ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้ 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.65 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 01 ต.ค. 2568 เวลา : 10:42:58

03-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 3, 2025, 5:59 am