(279)(353).jpg)
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (3 ต.ค.68) ที่ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมา ทยอยอ่อนค่าลง ทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.30-32.53 บาทต่อดอลลาร์) หลังทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ มีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ย่อตัวลงพอสมควร นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติม จากโฟลว์ธุรกรรม Buy on Dip น้ำมันดิบจากฝั่งผู้เล่นในตลาดน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากความกังวลแนวโน้มกลุ่ม OPEC+ เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิต ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงแถวโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้ส่งออกและการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน
แม้ภาวะ Government Shutdown ยังคงดำเนินต่อไป ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Meta +1.4%, Nvidia +0.9% ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันบ้างจากแรงขายหุ้น Tesla -5.1% แม้บริษัทจะรายงานยอดการส่งมอบรถรายไตรมาสที่แข็งแกร่งก็ตาม หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า ยอดขายอาจชะลอตัวลงได้ในอนาคต จากผลกระทบของการยกเลิกมาตรการสนับสนุนรถยนต์ EV ของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.06% ขณะที่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.39%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.53% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นในหลายอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม LVMH +3.6% กลุ่มธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +4.3% ที่ยังได้แรงหนุนจากความหวังการเติบโตของ AI และกลุ่มยานยนต์ ที่นักวิเคราะห์เริ่มกลับมามีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มยอดขายของกลุ่มยานยนต์และเริ่มปรับคำแนะนำเป็นเข้าซื้อในหุ้นบางส่วน อาทิ Stellantis +8.3%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ จะอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง และหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นบ้าง แต่มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงคาดหวังว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้ง ในปีนี้ และราว 3 ครั้งในปีหน้า และการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง ใกล้ระดับ 4.09% อีกครั้ง ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดยังคงเผชิญภาวะ Data Blindness เนื่องจากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ อย่าง Nonfarm Payrolls อาจถูกเลื่อนประกาศจากภาวะ Government Shutdown ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนบ้าง ตามการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ และจะกลับมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน อีกครั้ง เมื่อรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงาน ซึ่งต้องระวังว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดต่างยังไม่เร่งรีบปรับสถานะถือครอง จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงาน ซึ่งอาจถูกเลื่อนประกาศจากภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 97.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.5-98.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กอปรกับ แรงขายทำกำไรทองคำของผู้เล่นในตลาด ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลง สู่โซน 3,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง จากแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาด หนุนให้ ราคาทองคำกลับสู่โซน 3,880 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ เนื่องจาก รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจถูกเลื่อนประกาศจากผลกระทบของภาวะ Government Shutdown ทำให้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนกันยายน โดยเฉพาะในส่วนของดัชนีการจ้างงาน (Employment Index) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ พร้อมกันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด
ทางฝั่งยุโรปนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ซึ่งผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างมองว่า ECB ได้จบรอบการลดดอกเบี้ยแล้ว
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown เนื่องจากหากภาวะดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลานานก็อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้พอสมควร
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ และเงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลง (อย่างน้อยในระยะสั้น) และอาจต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า เงินบาทจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจนหรือไม่ เพราะการอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว อาจยิ่งกดดันเงินบาทเพิ่มเติม ผ่านการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวอาจไม่ได้ง่ายนัก หากไม่ได้มีปัจจัยกดดันที่ชัดเจน เช่น เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับการปรับตัวลงชัดเจนของราคาทองคำ ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลการจ้างงาน ที่น่าจะถูกเลื่อนประกาศจากผลกระทบของภาวะ Government Shutdown อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดอย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านดังกล่าว อนึ่ง หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ ก็มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องทดสอบโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้
ส่วนในช่วงระหว่างวัน เราประเมินว่า ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ ไม่มีความชัดเจนในแง่ของทิศทาง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้นผลการประชุมธนาคารแห่งประเทศไทยในสัปดาห์หน้า พร้อมทั้งรอติดตามภาวะ Government Shutdown ของฝั่งสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ หรือกล่าวได้ว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเลือกที่จะอยู่ในโหมด Wait and See ท่ามกลางภาวะ Data Blindness จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอีกครั้ง
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.55 บาท/ดอลลาร์
ข่าวเด่น