ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (10 ต.ค.68) อ่อนค่าลงหนัก ที่ระดับ 32.79 บาทต่อดอลลาร์




นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (10 ต.ค.68) ที่ระดับ 32.79 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.59 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวต้าน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน และยังทะลุกรอบด้านบน 32.75 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้เมื่อต้นสัปดาห์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.52-32.82 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มระมัดระวังกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งแม้จะส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยหรือใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น จากการชะลอตัวลงของตลาดแรงงาน ทว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังมีความเสี่ยงด้านสูงจากผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็ทำให้ เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ต่างสนับสนุนแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างระมัดระวัง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้รับอานิสงส์จากแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงทั้งในฝั่งตลาดการเงินยุโรป (ซึ่งมีส่วนกดดันเงินยูโร ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส) และตลาดการเงินสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มาพร้อมการรับรู้ข่าวการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกลุ่ม Hamas กับอิสราเอล ได้เร่งแรงขายทำกำไรทองคำ กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) มีจังหวะดิ่งลงเกือบ -3% ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้างราว +1% สู่โซน 3,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาด (และอาจมีการขายทำกำไรสถานะ Short ทองคำ ด้วย) ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าว ก็มีส่วนยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วงคืนที่ผ่านมา  

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง หลังสถานการณ์ Government Shutdown ยังมีความเสี่ยงที่จะยืดเยื้อ อีกทั้งผู้เล่นในตลาดเริ่มทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงการรับรู้รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Oracle +2.9%, Nvidia +1.8% จากความหวังของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ธุรกิจ AI ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ทำให้แม้ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.28% แต่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงเพียง -0.08%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.43% กดดันโดยแรงขายบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคาร จากความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของบางธนาคาร และการประกาศเข้าซื้อหุ้น Hang Seng Bank โดยธนาคาร HSBC -5.4% นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสที่ยังคงมีอยู่ ได้กดดันให้ บรรดาหุ้นฝรั่งเศส อาทิ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมพลิกกลับมาปรับตัวลดลง อาทิ LVMH -2.8% ส่วนกลุ่มยานยนต์ก็เผชิญแรงขายบ้าง หลัง Ferrari -15.4% ประเมินแนวโน้มรายได้และผลกำไรที่น่าผิดหวัง 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง หลังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ สะท้อนว่า เฟดมีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น อย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดได้ชะลอและจำกัดการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไว้แถว 4.14% เรายังคงมองว่า ในช่วงนี้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในกรอบ Sideways แต่จะกลับมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน อีกครั้ง เมื่อรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงาน ซึ่งต้องระวังว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามความต้องการถือครองจากทั้งภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด การปรับสถานะถือครองสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จากประเด็นการเมืองของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ ซึ่งสะท้อนว่า เฟดอาจดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างระมัดระวัง ก็มีส่วนหนุนเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ (Data Blindness) ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 99.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.8-99.6 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ แม้บรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ทว่า ข่าวการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกลุ่ม Hamas กับอิสราเอล รวมถึงการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้เร่งแรงขายทำกำไรทองคำ กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลงแรง ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ตามแรงซื้อ Buy on Dip และการปรับสถานะของผู้เล่นฝั่ง Short ทองคำ ทำให้ราคาทองคำกลับสู่โซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนตุลาคม โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาว พร้อมรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด 

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown รวมถึงสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงต่อ และจะยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า จนกว่าเงินบาทจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เมื่อประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อได้ ก็อาจเผชิญแนวต้านแถวโซน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

ในช่วงนี้ แม้เงินดอลลาร์อาจยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ที่ต่างส่งสัญญาณพร้อมดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น อย่างระมัดระวัง ซึ่งเรามองว่า ในภาวะที่ตลาดขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ก็ทำให้ เกิดความกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ประเมินไว้ ได้ไม่ยาก ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนเงินดอลลาร์ กอปรกับ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส ก็อาจยังเป็นปัจจัยที่กดดันเงินยูโร (EUR) ได้บ้าง ดังจะเห็นได้จากการที่เราเริ่มเห็นบทวิเคราะห์ต่างชาติในช่วงนี้ ที่เริ่มปรับลดหรือ Stop Loss สถานะ Long EUR (มองเงินยูโรแข็งค่า) รวมถึงการปรับลดสถานะ Long JPY (มองเงินเยนแข็งค่า) จากประเด็นการเมืองญี่ปุ่น ก็มีส่วนช่วยหนุนเงินดอลลาร์เช่นกัน ทว่า เรากังวลว่า เงินดอลลาร์เผชิญความเสี่ยง Two-Way risk พร้อมปรับตัวได้ทั้งสองทิศทาง หากภาวะ Government Shutdown ในฝั่งสหรัฐฯ สิ้นสุดลง และตลาดกลับมารับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงาน ขณะที่ หากสถานการณ์ความวุ่นวายของการเมืองฝรั่งเศสเริ่มคลี่คลายลง ก็อาจหนุนให้ เงินยูโรพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น กดดันเงินดอลลาร์ได้ไม่ยาก นอกจากนี้ เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทั้งแนวโน้มเงินยูโร และเงินเยนญี่ปุ่น ที่ควรจะทยอยแข็งค่าขึ้นได้ จนถึงช่วงกลางปี 2026 เป็นอย่างน้อย ทำให้ เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในระยะสั้น อาจเป็นไปอย่างจำกัด และ กลยุทธ์ Sell USD on Rally (ทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือเริ่มเปิดสถานะ Short USD) เริ่มมีความน่าสนในมากขึ้น โดยเฉพาะ หากประเมินในเชิงเทคนิคัล เรามองว่า การปรับตัวขึ้นของดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ก็เริ่มเข้าใกล้เป้าหมายแรกของเรา แถวโซน 99.6-99.7 จุด (มองว่า ดัชนีเงินดอลลาร์ อาจยังไม่ได้สามารถทะลุผ่านโซน 100 จุด ไปได้ง่ายนัก)

ทั้งนี้ เรายอมรับว่า ในช่วงระยะสั้น เงินบาทเสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หากราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลง ไม่ว่าจะแรงหรือไม่ (Beta ต่อเงินบาท ในช่วงราคาทองคำปรับตัวลง จะอยู่ในช่วง 0.2-0.3) อีกทั้ง บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็เริ่มทยอยลดสถานะ หรือ Stop Loss สถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) เพิ่มเติม จนมีโอกาสที่ผู้เล่นในตลาดจะกลับมาเพิ่มสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) หากเงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้านที่เราประเมินไว้ แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจพอถูกชะลอลงได้บ้าง จากแรงขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้เล่นในตลาด อย่าง ผู้ส่งออกได้บ้าง

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.90 บาท/ดอลลาร์


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 10 ต.ค. 2568 เวลา : 10:21:52

10-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 10, 2025, 7:11 pm