ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (22 ต.ค.68) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 32.89 บาทต่อดอลลาร์


 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (22 ต.ค.68) ที่ระดับ  32.89 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.78 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง ในลักษณะ Sideways Up ทะลุโซนแนวต้าน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ (แกว่งตัวในกรอบ 32.73-32.91 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ (ได้แรงหนุนบ้างจากการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น ตอบรับข่าว Sanae Takaichi ชนะโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่น) ที่มาพร้อมกับ การปรับฐานอย่างรุนแรงของราคาทองคำ (XAUUSD) โดยราคาทองคำดิ่งลงกว่า -5% ในช่วงคืนที่ผ่านมา เข้าใกล้โซน 4,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวรุนแรงของราคาทองคำดังกล่าวก็สะท้อนถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดด้วยเช่นกัน ทั้งในฝั่ง Long ทองคำ (มองราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น) ที่ขายทำกำไรสถานะดังกล่าว หรือบางส่วนก็อาจถูก Stop Loss ส่วนฝั่ง Short ทองคำ (มองราคาทองคำปรับตัวลดลง) ก็อาจทยอยเพิ่มสถานะดังกล่าวโดยเฉพาะหลังราคาทองคำปรับตัวลดลงหลุดโซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ที่ทำให้กราฟราคาทองคำรายชั่วโมงอาจเข้ารูปแบบ Double Tops สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อ 

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ชะลอการเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม เพื่อรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ รวมถึงรอติดตามสถานการณ์การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อย่างไรก็ดี รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ก็ยังคงออกมาสดใส อาทิ 3M +7.7%, Coca-Cola +4.1% ก็พอช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ บ้าง ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.003% ส่วนดัชนี Dow Jones Industrial Average +0.47% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.21% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบรรดาหุ้นฝรั่งเศส ตอบรับความเสี่ยงการเมืองฝรั่งเศสที่ทยอยคลี่คลายลง ขณะเดียวกันผลประกอบการของบรรดาหุ้นฝรั่งเศส โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมก็ทยอยออกมาสดใส ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากแรงขายหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังราคาแร่โลหะ ทั้งราคาทองคำ เงิน และทองแดง ต่างปรับตัวลงหนัก 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down สู่ระดับ 3.96% โดยผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงระมัดระวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อีกทั้ง ในช่วงนี้ ก็จะเข้าสู่ช่วงรับรู้รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงต่อต่ำกว่าระดับ 4.00% อีกครั้ง แต่เราขอเน้นย้ำว่า ควรระวังว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อาจปรับเปลี่ยนไปได้อย่างมีนัยสำคัญ หากผู้เล่นในตลาดได้ทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ หรือ พัฒนาการของประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Up หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลัง Sanae Takaichi ชนะการโหวตเลือกเป็นนายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่น ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดความคาดหวังต่อการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ลงบ้าง อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด ซึ่งต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ และผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย สู่โซน 98.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.8-99.0 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ แรงขายทำกำไรทองคำของผู้เล่นในตลาด กอปรกับการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นทั้งฝั่ง Long และ Short ทองคำ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ดิ่งลงหนัก -5% ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย สู่โซน 4,060-4,070 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกันยายน

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่า BI อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 25bps สู่ระดับ 4.50% เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ และเงินบาท (USDTHB) จะยังคงอยู่ในแนวโน้มการอ่อนค่า จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน โดยโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น อีกครั้ง หลังราคาทองคำปรับตัวลงรุนแรงในช่วงคืนที่ผ่านมา สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนสูงและเสี่ยงที่จะเห็นการปรับตัวแรงของราคาทองคำได้เป็นระยะๆ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้พอสมควร (Beta หรือ Sensitivity ระหว่างราคาทองคำกับค่าเงินบาท ในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงจะอยู่ที่ราว 0.2) 

อย่างไรก็ดี เนื่องจากราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนสูง ทำให้ตราบใดที่ประเด็นความเสี่ยงซึ่งกดดันตลาดในช่วงที่ผ่านมา อาทิ ความกังวลต่อสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มเทคฯ ใหญ่ ไม่ได้คลี่คลายลงอย่างชัดเจน เรามองว่า ราคาทองคำก็อาจพอมีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง (ตามลักษณะของภาวะผันผวนสูง) ซึ่งอาจมาจากทั้งแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน รวมถึง การปิดสถานะหรือปรับลดสถานะ Short ทองคำ (มองราคาทองคำลดลง) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน โดยหากราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ก็อาจชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้เช่นกัน 

นอกจากนี้ เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจค่อยเป็นค่อยไป หากราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวลงรุนแรงต่อเนื่อง โดยเราเริ่มเห็นแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งควรจับตาแรงซื้อบอนด์ระยะยาวของไทย จากบรรดานักลงทุนต่างชาติ หลังบอนด์ยีลด์ระยะยาวของไทยได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาพอสมควร สวนทางกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ระยะยาวทั่วโลก โดยเฉพาะช่วงอายุ 10 ปี โดยเรารประเมินว่า ระดับบอนด์ยีลด์ 10 ปี ไทย เหนือโซน 1.75% ก็ถือว่าเป็นระดับที่ Fairly Valued หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1.25% ได้ 

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้ส่งออก และผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือปิดสถานะ/ขายทำกำไรสถานะดังกล่าว ทำให้ เงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าต่อเนื่อง จนทะลุโซนแนวต้าน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ง่ายนัก 

ส่วนเงินดอลลาร์ก็อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทั้งการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน

และที่สำคัญเราขอย้ำว่า ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.95 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 22 ต.ค. 2568 เวลา : 10:44:16

22-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 22, 2025, 4:11 pm