(440)(635).jpg)
ตลาดหุ้นไทยเปิดวันนี้ (10 พ.ย.68) เวลา 9.56 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,306.31 จุด บวก 3.40 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1,352.77 ล้านบาท
บล. พาย ประเมิน SET Idex วันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 1,290-1,310 จุด เริ่มมีรายงานว่าหน่วยงานในสหรัฐจะกลับมาเปิดทำการ โดยรีพับลิกันและเดโมแครตใกล้จะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณ เป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อตลาดหุ้นในภาพรวม ส่วนในประเทศรอติดตามผลประกอบการ (TACC ประกาศกำไรทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์รายไตรมาส) มองเป็นหุ้นที่น่าสนใจ
วันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐ รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ลดลง 6% สาเหตุลดลงจากสถานะการเงินส่วนบุคคลในปัจจุบัน และอีกส่วนมองว่าสภาพธุรกิจในข้างหน้าไม่ค่อยดีเท่าใดนักจากการที่รัฐบาลปิดหน่วยงานเป็นระยะเวลาค่อนข้างยาวนานกว่า 1 เดือน และการลดลงของความเชื่อมั่นเกิดขึ้นในหลายๆ ช่วงอายุ ยกเว้นกลุ่มที่ถือหุ้นในอัตราสูงพบว่ามีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้น โดยรวมตัวเลขข้างต้นสะท้อนความเปราะบางของกำลังซื้อ กดดันให้ US Dollar กลับมาอ่อนค่าพร้อมกับเงินบาทที่แข็งค่าทดสอบ 32.4 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯค่อนข้างผันผวนจากความกังวล Valuation เริ่มแพง โดยเฉพาะกลุ่ม Technology อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเป็นเพียงระยะสั้นเพราะทิศทางการเติบโตของกำไรยังเด่นชัด จังหวะย่อตัวอาจมองเป็นโอกาสสะสม DR
สำหรับปัจจัยในประเทศนักลงทุนรอดูการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 โค้งสุดท้ายสัปดาห์นี้ ล่าสุดในวันศุกร์มีหุ้นรายงานกำไรโดดเด่นอย่าง TACC ประกาศกำไรสุทธิที่ 90 ล้านบาท (+49%YoY) และรายได้ขยายตัว (+29%YoY)
บริษัทระบุว่าสาเหตุหลักมาจากรายได้ใน 7-11 ที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับกระแสความนิยมของเครื่องดื่มชาไทยและชาเขียวในกลุ่มผู้บริโภคที่ยังมีต่อเนื่อง โดยอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 32% ลดลงเล็กน้อย (1%) จากปีก่อนตามต้นทุนที่ปรับขึ้น (กาแฟ) มองหุ้นข้างต้นยังน่าสนใจด้วย PE ไม่แพงและปันผลที่สูง พร้อมกับเติบโตตามการขยายตัวของ 7-11
ส่วนคืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญต้องติดตามเนื่องจากสหรัฐฯ ยังไม่มีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ
กลยุทธ์การลงทุน เน้นกลยุทธ์เลือกเป็นรายตัวในหุ้นที่มีปัจจัยบวก อาทิ ค้าปลีก (BJC CPALL CPAXT HMPRO) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK SCB) การเงิน (MTC) เครื่องดื่ม (TACC)
TACC (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 6.60 บาท) ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 โดดเด่นมากโดยบริษัทรายงานรายได้ 619 ล้านบาท (+28.6%YoY) พร้อมกับกำไรสุทธิที่ 90 ล้านบาท (+49%YoY) ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สาเหตุจากการขยายตัวของ 7-11 รวมถึงกระแสนิยมชาไทยและชาเขียว ในขณะเดียวกันเป็นหุ้นที่ปันผลค่อนข้างสูงในระดับ 7-8%
TU (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 15.30 บาท) TU รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2568 ที่ระดับ 1,304 ล้านบาท ถ้าไม่รวมรายการพิเศษกำไรปกติจะอยู่ที่ 1,196 ล้านบาทใกล้เคียงที่เราคาดไว้ โดยสิ่งที่ดีในไตรมาสนี้คือถ้าไม่นับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน รายได้จะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งเมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากการฟื้นตัวในกลุ่มอาหารสัตว์ทั้งกุ้งและสัตว์เลี้ยง ส่วนเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2568 รายได้ฟื้นตัวทุกกลุ่ม สำหรับแนวโน้มช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 เบื้องต้นคาดรายได้ทรงตัวไตรมาส 3 ปี 2568
ข่าวเด่น