(279)(381).jpg)
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (14 พ.ย.68) ที่ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังมีจังหวะแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.27-32.40 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลว่า เฟดอาจยังไม่สามารถทยอยเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคม นี้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) และอัตราเงินเฟ้อ CPI รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ อาจถูกเลื่อนประกาศไปก่อน แม้ภาวะ US Government Shutdown ได้สิ้นสุดลง กอปรกับ ในช่วงนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างยังคงย้ำจุดยืนว่า เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง ซึ่งภาพดังกล่าวได้ทำให้ ผู้เล่นในตลาดประเมินเฟดมีโอกาสราว 50% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ ทั้งนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ก็มีส่วนช่วยหนุนการทยอยรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ เพิ่มแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
แม้ว่า ภาวะ US Government Shutdown ได้สิ้นสุดลงได้ ทว่าผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาจมีการเลื่อนประกาศไปก่อน ซึ่งอาจทำให้เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ยไปก่อนได้ โดยความกังวลดังกล่าวได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น กดดันบรรดาหุ้นเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นธีม AI/Semiconductor และหุ้นสไตล์ Growth ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.66% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงกว่า -2.29%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง -0.61% ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดหลัง ภาวะ US Government Shutdown ได้สิ้นสุดลง (Sell on Fact) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจาก แรงขายหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ จากความกังวลว่า เฟดอาจชะลอการเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม หากขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาทยอยปรับตัวสูงขึ้นบ้าง สู่ระดับ 4.10% หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็มีส่วนจำกัดการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยภาพดังกล่าว ก็สอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจาก เฟดยังสามารถประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ (Alternative Data) รวมถึงการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ จากผลสำรวจภาคธุรกิจของบรรดาเฟดสาขาต่างๆ ซี่งจะสะท้อนผ่าน ดัชนีภาคธุรกิจ ทั้งภาคการผลิตและภาคการบริการ จากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ทำให้เรายังคงมองว่า เฟดมีโอกาสทยอยเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ และอาจลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในการประชุมเดือนมีนาคม และมิถุนายน ปี 2026
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการรับรู้ ภาวะ US Government Shutdown ที่สิ้นสุดลงของผู้เล่นในตลาด และจังหวะแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก ทั้ง เงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด กอปรกับภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้หนุนให้ เงินดอลลาร์ทยอยรีบาวด์สูงขึ้น ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงเล็กน้อย สู่โซน 99.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.9-99.4 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะ US Government Shutdown ที่สิ้นสุดลง กอปรกับ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนการรีบาวด์ขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงสู่โซน 4,160 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน เข้าใกล้โซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนตุลาคม
ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB
และในฝั่งสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะเป็นที่สนใจของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะหลังภาวะ US Government Shutdown ได้สิ้นสุดลง ทำให้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาจสามารถกลับมาทยอยประกาศได้
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง การพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นบ้าง
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยโซนแนวต้านยังคงอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน จนกว่าจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ ซึ่งเรามองว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายข้อมูลอาจมีการทยอยประกาศออกมาได้ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้เราขอเน้นย้ำว่า ในช่วงหลังภาวะ US Government Shutdown สิ้นสุดลง ผู้เล่นในตลาดจะเผชิญกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง หรือ Data Bombardment ซึ่งอาจทำให้ตลาดการเงินผันผวนสูงขึ้นได้ไม่ยาก และควรระมัดระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงดังกล่าว
ทั้งนี้ เรามองว่า แม้ผู้เล่นในตลาดจะทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ก็กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง แต่จะเห็นได้ว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังเป็นไปอย่างจำกัดอยู่ หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ แถวโซนแนวต้าน นอกจากนี้ หากมุมมองของเรานั้นถูกต้อง ว่า เฟดจะสามารถทยอยปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ เราประเมินว่า เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีโอกาสพลิกกลับมาปรับตัวลดลงได้ไม่ยาก ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งอาจต้องอาศัยการรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานชะลอตัวลงมากขึ้น หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสเพียง 50% ที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม
นอกจากนี้ เรามองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ (XAUUSD) ด้วยเช่นกัน หลังราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นเหนือโซน 4,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ ราคาทองคำกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following ซึ่งหากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้ ก็อาจหนุนให้ เงินบาทเสี่ยงแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เปิดทางให้เงินบาทอาจสามารถแข็งค่าสู่โซนแนวรับ 32.00-32.15 บาทต่อดอลลาร์ ได้ โดยเราประเมินว่า ราคาทองคำจะสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ หากผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อมั่นในแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หรืออาจมีปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์กลับมากดดันตลาดเพิ่มเติม ขณะที่ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินในช่วงนี้ อาจไม่ได้หนุนราคาทองคำมากนัก หากสาเหตุในการเทขายหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ของตลาดนั้น มาจากความกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด
และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์
ข่าวเด่น