นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (24 พ.ย.68) ที่ระดับ 32.44 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.52 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.38-32.54 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ จากถ้อยแถลงของ John Williams (NY Fed และเป็น Permanent FOMC Voter) ที่ระบุว่า เฟดมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในระยะใกล้ (ผู้เล่นในตลาดตีความว่า ระยะใกล้อาจหมายถึง การประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้) อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาทยอยเปิดรับความเสี่ยง กดดันให้ ราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลง โดยเฉพาะในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย สัปดาห์ที่ผ่านมา การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ถูกชะลอลงในช่วงปลายสัปดาห์ หลังถ้อยแถลงของประธาน NY Fed ที่ระบุว่าเฟดยังมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในระยะใกล้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ควบคู่กับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ และระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้ แผนงบประมาณรัฐบาลอังกฤษ มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก * ฝั่งสหรัฐฯ – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เป็นต้น เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด โดยเฉพาะในช่วงนี้จะเข้าสู่ช่วงงดให้สัมภาษณ์สื่อต่อประเด็นเศรษฐกิจและแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อนึ่ง เรามองว่า ควรจับตารายงานผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ซึ่งอาจส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้ หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้กลับมาปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนธันวาคม เป็น 63% จากก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 30%-40% (ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคม หลังรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในเดือนกันยายน ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดพอสมควร) * ฝั่งยุโรป – แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจจะมี ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) จากทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) แต่ตลาดการเงินยุโรป โดยเฉพาะตลาดการเงินอังกฤษเสี่ยงผันผวนสูง ในช่วงผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ แผนงบประมาณของรัฐบาลอังกฤษ (UK Budget) ที่มีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลอังกฤษจะเดินหน้ารักษาวินัยการคลัง ด้วยการเพิ่มรายได้จากหลายช่องทาง เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษอาจไม่เลือกที่จะขึ้นภาษีเงินได้ตามที่เคยได้ระบุไว้ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง โดยหากผู้เล่นในตลาดยังมีความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของอังกฤษ ก็อาจกดดันให้ บอนด์ยีลด์ระยะยาวของอังกฤษปรับตัวสูงขึ้น ตามแรงขายบอนด์ระยะยาว ขณะเดียวกัน เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ก็เสี่ยงอ่อนค่าลงพอควร นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักดังกล่าว * ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายน ของจีน ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อของกรุงโตเกียว ในเดือนพฤศจิกายน รวมถึงภาวะการจ้างงาน ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนตุลาคม ในส่วนการประชุมบรรดาธนาคารกลางฝั่งเอเชียนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 2.25% เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ ขณะที่ ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) อาจเลือกที่จะคงดอกเบี้ย ณ ระดับ 2.50% ไปก่อน * ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการค้าระหว่างประเทศ ทั้งยอดการส่งออกและนำเข้า ในเดือนตุลาคม รวมถึง รายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) และอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization Rate) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมการผลิตและเศรษฐกิจโดยรวม สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เนื่องจากประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว อีกทั้งเรายังคงประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งผู้เล่นในตลาดยังไม่ได้มั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคมแบบ Fully Priced-In ทำให้เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down และอาจจบสิ้นปี 2025 แถวโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ (หรือแข็งค่ากว่าระดับดังกล่าวเล็กน้อย) ได้ ทว่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ไม่ต่างกับเงินดอลลาร์ ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมา รวมถึงรายงานผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ซึ่งจะช่วยให้ตลาดสามารถปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้ อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านได้บ้าง ทว่าการอ่อนค่าของเงินบาทอาจถูกจำกัดแถวโซนแนวต้าน 32.50-32.65 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์จากผู้เล่นในตลาด ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำและฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่อาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควร และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ (หรือปรับตัวขึ้นเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์) ได้อย่างชัดเจน ในส่วนของเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจย่อตัวลงต่อได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ และรายงาน Fed Beige Book ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมามั่นใจว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ทว่าเงินดอลลาร์อาจได้แรงหนุน หากเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่า จากความกังวลเสถียรภาพการคลัง หลังรับรู้แผนงบประมาณรัฐบาลอังกฤษ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-32.75 บาท/ดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาท/ดอลลาร์
ข่าวเด่น