ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (25 พ.ย.68) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์


 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (25 พ.ย.68) ที่ระดับ  32.37 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.50 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จากโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.35-32.51 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ได้รับอานิสงส์จากการทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดประเมินเฟดมีโอกาสราว 77% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุมเดือนธันวาคม อย่างไรก็ดี การปรับเพิ่มความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดกลับไม่ได้กดดันเงินดอลลาร์มากนัก หลังบรรดาสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ต่างเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อย โดยเฉพาะฝั่งสกุลเงินหลักยุโรป ทั้งเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น การประกาศแผนงบประมาณของอังกฤษ ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็สามารถรีบาวด์ขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นยุโรป 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นแรงของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ท่ามกลางความหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ Alphabet +6.3% ยังได้แรงหนุนจากกระแสตอบรับ AI Gemini 3.0 ที่เปิดตัวไม่นานนี้ หนุนบรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.55% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +2.69% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้นบ้าง +0.14% หนุนโดยการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ไม่ต่างจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันจากการเทขายหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร-การบิน จากแนวโน้มทางการสหรัฐฯ ต้องการเร่งยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาทยอยปรับตัวลดลงเข้าใกล้ระดับ 4.02% หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ทว่าการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทั้งนี้ เราขอย้ำว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (ซึ่งจะมีผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ) อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เท่านั้น และไม่ไล่ราคาซื้อ) เนื่องจาก เราคงประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มทยอยเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีก 3 ครั้ง ครั้งละ 25bps จบที่ระดับ 3.25% ทำให้อาจยังพอเห็นการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากระดับ ณ ปัจจุบัน สู่ระดับ 3.80%-3.90% ได้ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ก่อนที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีโอกาสทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.20% อีกครั้ง ในช่วงปลายปี 2026

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะทยอยปรับตัวลดลงตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทว่าเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลักฝั่งยุโรป หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถรีบาวด์ขึ้นแรงมากกว่าฝั่งตลาดหุ้นยุโรปอย่างชัดเจน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตาแผนงบประมาณรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเงินปอนด์อังกฤษได้พอสมควร ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นบ้างสู่โซน 100.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100-100.3 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศตลาดการเงินสหรัฐฯ จะกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง แต่มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดก็มีส่วนหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่โซน 4,170-4,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งในส่วนของยอดการจ้างงานภาคเอกชนรายสัปดาห์ โดย ADP (20.15 น. ตามเวลาประเทศไทย) ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ที่จะรับรู้ในช่วง 20.30 น. รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) และดัชนีภาคธุรกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ 

ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ในเดือนตุลาคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทในระยะสั้นได้บ้าง หลังตลาดรับรู้รายงานดังกล่าว

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯ ได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง  

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น ทดสอบระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ หรืออาจแข็งค่ากว่าระดับดังกล่าวได้บ้าง ในช่วงสิ้นปีนี้ แต่เงินบาทก็เสี่ยงเผชิญ Two-way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และปัจจัยอื่นๆ ทำให้ในระยะสั้น เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ 

โดยล่าสุด แม้ผู้เล่นในตลาดจะปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคมนี้ สู่ระดับ 77% ทว่า เงินดอลลาร์กลับยังไม่ได้อ่อนค่าลงมากนัก ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะในส่วนของ ยอดค้าปลีกและดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ที่จากข้อมูลย้อนหลัง 1 ปี เราพบว่า เงินบาท (USDTHB) เสี่ยงผันผวนในกรอบ +/-1 SD หลังรับรู้ รายงานข้อมูลดังกล่าวได้ราว +/-0.2% นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็อาจรอติดตามการประกาศแผนงบประมาณของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ได้อย่างมีนัยสำคัญ จากประเด็นแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลอังกฤษ และที่สำคัญ สัปดาห์นี้ เป็นช่วงวันหยุดเทศกาล Thanksgiving ในฝั่งสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครองได้ 

อนึ่ง ในช่วงวันหยุดเทศกาล Thanksgiving ปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินอาจเบาบางลงกว่าระดับปกติบ้าง ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงนี้ โดยเฉพาะหากมีการเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนญี่ปุ่นจากฝั่งทางการญี่ปุ่น ทว่า จากการประเมินถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของทางการญี่ปุ่นในช่วงนี้ เราพบว่า โอกาสเกิดการเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนญี่ปุ่นในเร็ววันนี้ยังไม่ได้สูงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้ามได้ เนื่องจากเงินเยนญี่ปุ่นก็ยังเคลื่อนไหวในระดับที่อ่อนค่าพอสมควรแถวโซน 156.90 เยนต่อดอลลาร์ และอาจกลับไปอ่อนค่าเหนือระดับ 157 เยนต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง (ซึ่งจากโมเดลส่วนต่างบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น และการประเมินจากปัจจัยพื้นฐานด้วยโมเดล BEER พบว่า เงินเยนญี่ปุ่นควรจะแข็งค่าขึ้นจากระดับปัจจุบันพอสมควร เกือบ +10% ได้) 

และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.55 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 25 พ.ย. 2568 เวลา : 12:48:32

25-11-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 25, 2025, 3:33 pm