เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล อินโนเวสท์วิเคราะห์ "ชะลอตัวดูสถานการณ์ แต่ภาพรวมยังดี"



คาด SET มีการชะลอตัวในลักษณะแกว่งในกรอบระหว่าง 1440-1460 จุด โดยนอกจากลดความร้อนแรงของสัญญาณเทคนิคในระยะสั้นแล้ว คาดนักลงทุนในตลาดรอติดตามถ้อยแถลงประธานเฟดในวันนี้ เพื่อประเมินทิศทางการลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงสถานการณ์ด้านการเมืองในเกาหลีใต้ ทั้งนี้ ภาพรวมมองว่า SET ยังปรับขึ้นได้ต่อ โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากเม็ดเงินกองทุน

ประเด็นสำคัญ

• เช้านี้ ปธน. เกาหลีใต้ เตรียมประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกในเกาหลีใต้ หลังที่ประชุมสภาเกาหลีใต้มีมติเป็นเอกฉันท์ขัดขวางการใช้กฎอัยการศึก หลังเมื่อคืนนี้ห้าทุ่มปธน. เกาหลีใต้ประกาศกฎอัยการศึก 

• Reuter รายงานกลุ่ม OPEC+ มีแนวโน้มประกาศขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปจนถึงสิ้น 1Q68 ในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ (5 ธ.ค.) เพื่อพยุงราคาน้ำมัน จากเดิมที่จะเริ่มยุติการลดกำลังการผลิตน้ำมันในสิ้นเดือนธ.ค. 2567

• กระทรวงพาณิชย์จีนสั่งห้ามส่งออกวัสดุสำคัญที่ใช้สำหรับผลิตชิปสู่สหรัฐฯ ตอบโต้มาตรการจำกัดการขายชิปประมวลผล HBM ให้กับจีน

• รมว. คลังสั่งสศค. เร่งพิจารณาปรับโครงสร้างภาษี อาทิ ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 20% เหลือ 15% เพื่อเพิ่มความสามารถแข่งขัน, เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยปัจจุบันไทยเก็บที่ 7% จากเพดานที่ 10% ซึ่งน้อยเมื่อเทียบประเทศทั่วโลกที่เก็บ VAT เฉลี่ยที่ 15-25% 

• ผู้ว่า ธปท. ชี้ปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับโลกที่ไม่แน่นอนสูง เผยนโยบายการเงินต้อง Resiliency ยืดหยุ่น ใช้เครื่องมือหลากหลาย ย้ำดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่สามารถตอบโจทย์ทั้งหมดได้ เตรียมออกมาตรการแก้หนี้รายย่อย-เอสเอ็มอี เพิ่มเติมวันที่ 11 ธ.ค. นี้

• รมว. ท่องเที่ยวฯ เผยนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยสัปดาห์ก่อนชะลอตัวลงจากนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่ลดลงเนื่องจากอุทกภัย และนักท่องเที่ยวระยะไกลลดลงเช่นกัน โดยจะกลับมาเร่งตัวอีกในเดือนธ.ค.

• สรท. คาดการส่งออกปี 2568 ไทยจะขยายตัว 1-3% และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมอาหารจะเป็นสินค้าหลัก ส่วนการส่งออกปีนี้คาดจะขยายตัวได้ 3.5-4.0% จากข้อมูลช่วง 10M67 สามารถทำได้ดี

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้นมอง SET จะยังเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways ในกรอบ โดยมีแนวรับเชิงจิตวิทยาที่บริเวณ 1400 จุด และตลาดจะมีการรีบาวน์เป็นระยะๆ เป็นผลสืบเนื่องจากปัจจัยต่างประเทศยังค่อนข้างจำกัด โดยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มทรงตัว ขณะที่ภาคการค้าระหว่างประเทศของจีนยังมีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่วนปัจจัยในประเทศยังไม่มีประเด็นใหม่ๆ เข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุน และยังติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ  ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์

ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways โดย Fund Flow ยังมีแนวโน้มไหลออกจาก EM หลังกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าและในประเทศยังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น   ดังนี้ 

1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและท่องเที่ยว แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CPAXT CRC HMPRO TNP) และท่องเที่ยว (AWC AOT MINT) 

2.  หุ้น Earnings Play ซึ่งมองมีโมเมนตัมกำไร 4Q67 จะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก GULF OSP AMATA AU TIDLOR BCP 

3. หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนลดหย่อนภาษี แนะนำหุ้น SET100 ที่คาดให้ Div. Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5%, มี ESG Ratings และ CG สูง, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก BBL ADVANC HMPRO

4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่คาดมีโอกาสเข้าคำนวณ SET50 ใน 1H68 BANPU CCET COM7 SAWAD รวมทั้งหุ้นที่ได้อานิสงส์จากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ แนะนำ HMPRO CPALL และ TASCO ขณะที่ระมัดระวังการลงทุนหุ้นกลุ่มการแพทย์, ยานยนต์ และวัสดุก่อสร้างที่กำไร 4Q67 มีโมเมนตัมอ่อนแอ

DAILY TOP PICKS

BCH: 4Q67 มองเป็นไตรมาสสุดท้ายที่จะกังวลความไม่แน่นอนของการจ่ายเงินค่ารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงของ SC ไม่เพียงพอ หลังล่าสุดการประชุมมีพัฒนาเชิงบวกว่าเป็นอัตรา 12,000 บาท/AdjRW โดยจะสรุปอีกทีในการประชุมวันที่ 6 ธ.ค. นี้ ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรปกติจะเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มการแพทย์ที่ 19%YoY  

CPALL: 4Q67 คาดจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากเข้าสู่ High Season และยอดขายสาขาเดิมยังเติบโตแข็งแกร่ง อีกทั้งมาร์จิ้นยังกว้างขึ้นต่อเนื่องจากกมียอดขายสินค้ามาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น ขณะที่มาตรการกระตุ้นศก. เพิ่มเติมของรัฐบาลและการปรับลดดอกเบี้ยจะเพิ่ม Upside ให้กับประมาณการ
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 04 ธ.ค. 2567 เวลา : 11:57:55
26-12-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (26 ธ.ค.2567) ลบ 3.05 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,397.80 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (26 ธ.ค.67) ลบ 5.02 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,395.83จุด

3. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับที่ระดับ 2,610 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,645 เหรียญ

4. ประเทศไทยอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศา "ยอดดอย" หนาวถึงหนาวจัด 5 องศา "ยอดภู" 7 องศา

5. ตลาดหุ้นไทยเปิด (26 ธ.ค.67) ลบ 0.03 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,400.60 จุด

6. ทองเปิดตลาดวันนี้ (26 ธ.ค. 67) ปรับขึ้น 150 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 43,050 บาท

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (26 ธ.ค.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 34.19 บาทต่อดอลลาร์

8. ประกาศ กปน.: 26 ธ.ค. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนแจ้งวัฒนะตัดถนนเลี่ยงเมืองปากเกร็ด

9. ตลาดหุ้นปิด (25 ธ.ค.2567) บวก 6.18 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,400.85 จุด

10. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 ธ.ค.2567) บวก 4.35 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,399.02 จุด

11. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.67) พุ่ง 390.08 จุด หุ้นเทคฯ-หุ้น Growth Stocks หนุนตลาด

12. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.67) บวก 7.30 เหรียญ ตลาดจับตาทิศทางดอกเบี้ยเฟด

13. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,605 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,640 เหรียญ

14. "ยอดดอย" หนาวถึงหนาวจัด 5 องศา มีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ "ยอดภู" 7 องศา "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก" อุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศา

15. ตลาดหุ้นไทยเปิด (25 ธ.ค.67) บวก 5.68 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,400.35 จุด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 26, 2024, 8:29 pm