เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ "ส่องฐานข้อมูลสินเชื่อธุรกิจจากเครดิตบูโร (NCB) หนี้ธุรกิจน่ากังวลแค่ไหน?"



 
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลสินเชื่อธุรกิจ จากฐานข้อมูลบัญชีลูกหนี้นิติบุคคล อันเป็นฐานข้อมูลสถิติที่ไม่ระบุตัวตนของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) จำนวนบัญชีเฉลี่ย 1.7-1.8 ล้านบัญชีต่อไตรมาส ด้วยข้อมูลจนถึงไตรมาส 2/2567 พบ 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

1. คุณภาพของหนี้ธุรกิจไทยกลับมาถดถอยลงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 หลังหมดแรงส่งมาตรการช่วยเหลือทางการเงินช่วงโควิด-19

2. ธุรกิจยิ่งเล็ก ปัญหาหนี้เสียยิ่งรุนแรง

3. สถาบันการเงินทุกประเภทต่างก็เผชิญผลกระทบที่ชัดเจนมากขึ้น

4. เมื่อเจาะกลุ่มปัญหาเรื้อรังพบว่า ระดับความรุนแรงของปัญหาหนักกว่าพอร์ตสินเชื่อธุรกิจโดยรวม และปัญหาหนี้ของธุรกิจขนาดเล็กและกลางน่าห่วงมากขึ้น

5. ประเภทธุรกิจที่เผชิญปัญหาคุณภาพหนี้ คือ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่พักและอาหาร ค้าส่งค้าปลีก และภาคการผลิต ซึ่งสะท้อนปมปัญหา ที่เกิดขึ้นจากโจทย์เฉพาะหน้าและปัญหาเชิงโครงสร้างที่รอทุกภาคส่วนร่วมแก้ไข

1. คุณภาพของหนี้ธุรกิจไทยกลับมาถดถอยลงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 หลังหมดแรงส่งมาตรการช่วยเหลือทางการเงินช่วงโควิด

ภาพรวมคุณภาพหนี้ของธุรกิจไทยตามฐานข้อมูลของ NCB1 นั้น พบว่า แม้หากเทียบหลังวิกฤตโควิด-19 จะเห็นทิศทางคุณภาพหนี้โดยรวมที่ดีขึ้น นั่นคือ สัดส่วนหนี้ค้างชำระตั้งแต่ 1 วันขึ้นไปมีสัดส่วนที่ลดลงจากจุดสูงสุดหลังโควิดที่ 7.18% ณ ไตรมาส 1/2563 เข้าหาระดับ 4.60-4.70% ในช่วงระหว่างปี 2566 ตามอานิสงส์ของมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ที่ออกมาเพื่อเยียวยาในช่วง โควิด แต่สัดส่วนดังกล่าวก็พลิกกลับมาขยับขึ้นในช่วงต้นปี 2567 จนแตะระดับ 5.02% ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 เมื่อหมดแรงส่งของมาตรการ กอปรกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเปราะบางและไม่ทั่วถึง (รูปที่ 1)

 
 
2. ธุรกิจยิ่งเล็ก ปัญหาหนี้เสียยิ่งรุนแรง

เมื่อพิจารณาสัดส่วนเอ็นพีแอลจำแนกตามขนาดธุรกิจ2 พบว่า หนี้ที่เพิ่งมีวันค้างชำระ (1-30 วัน) และหนี้เอ็นพีแอล (ค้างชำระเกิน 90 วัน) เรียงตามสัดส่วนจากมากไปน้อย จะเป็นธุรกิจขนาด Super Micro, Micro, Small และ Medium ซึ่งการเรียงตามช่วงระยะเวลาที่ประเด็นคุณภาพหนี้เริ่มถดถอยลง ก็ไล่เรียงจากธุรกิจขนาดจิ๋วมาที่ขนาดเล็กและกลางเช่นเดียวกัน (รูปที่ 2) อันสะท้อนความอ่อนไหวของภาคธุรกิจต่อปัจจัยแวดล้อมที่มากขึ้นเมื่อธุรกิจมีขนาดที่เล็กลง

 
3. สถาบันการเงินทุกประเภทเผชิญผลกระทบชัดเจนขึ้น

เมื่อเจาะภาพหนี้ที่เพิ่งพ้นกำหนดชำระหนี้ไม่เกิน 30 วันสำหรับขนาดธุรกิจ Super Micro, Micro และ Small อันเป็นกลุ่มที่มีปัญหารุนแรงที่สุด เพื่อวัดสถานการณ์ปัญหาหนี้ที่เพิ่งเริ่มต้นเสียนั้น ชี้ว่า สถาบันการเงินผู้ปล่อยสินเชื่อ (ที่เป็นสมาชิกของ NCB) ต่างก็เผชิญปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพที่ปรับตัวสูงขึ้นถ้วนหน้า (ไม่จำกัดเพียงแค่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจเท่านั้น) โดยเฉพาะบริษัทลิสซิ่งและสินเชื่อเช่าซื้อ ตามมาด้วยบริษัทบัตรเครดิตและสินเชื่อ Consumer Finance และบริษัทประกันที่มีสัดส่วนหนี้ค้างชำระ 1-30 วัน เพิ่มขึ้นแตะ 5.04%, 4.27% และ 3.44% ตามลำดับ (รูปที่ 3)

 
4. เจาะกลุ่มปัญหาเรื้อรัง พบปัญหาหนักกว่าพอร์ตรวม ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กและกลางน่าห่วงมากขึ้น

เพื่อให้สามารถประเมินสาเหตุและทิศทางสถานการณ์คุณภาพหนี้ของภาคธุรกิจได้แม่นยำมากขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงได้กรองบัญชีสินเชื่อธุรกิจที่มีข้อมูลย้อนหลังเป็นระยะเวลา 3 ปี (ขจัดกลุ่มธุรกิจที่เกิดใหม่และหายไประหว่างปีจากเหตุผลต่างๆ ออกไป) ซึ่งได้กลุ่มตัวอย่างประมาณ 6.5 แสนบัญชี เพื่อนำมาศึกษาปัญหาการชำระหนี้ที่เริ่มมีสัญญาณล่าช้า ซึ่งขอเรียกว่าเป็นกลุ่มที่มีสัญญาณของปัญหาหนี้ ‘เรื้อรัง’ นั้น พบว่า สัดส่วนหนี้ค้างชำระทุกระยะต่อสินเชื่อรวมของธุรกิจกลุ่มนี้ อยู่ที่ประมาณ 9.47% ในไตรมาส 2/2567 เพิ่มขึ้นชัดเจนจากระดับ 5.50% ณ ไตรมาส 2/2564 ตามหนี้ชั้นเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ (รูปที่ 4)

 
ทั้งนี้ สัดส่วนของหนี้ที่เริ่มมีวันค้างชำระดังกล่าว สูงกว่าของพอร์ตรวมของสินเชื่อธุรกิจซึ่งอยู่ที่ 5.02% อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งตอกย้ำว่า ลูกหนี้กลุ่มนี้ไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และ/หรือการเยียวยาปัญหาหนี้ของภาครัฐและสถาบันการเงินระหว่างทางเท่าที่ควร นอกจากนี้ เมื่อจำแนกตามขนาดธุรกิจที่มีคุณสมบัติเป็นหนี้เรื้อรังนั้น พบธุรกิจขนาด Medium และ Small มีการถดถอยของคุณภาพหนี้ชัดขึ้น กว่ากรณีพอร์ตรวม (รูปที่ 5) ซึ่งชี้ว่า ปัญหาลามจากธุรกิจขนาดจิ๋ว มาที่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางมากขึ้น

 
5. ประเภทธุรกิจที่มีปัญหากระจุกตัวอยู่ในธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ที่พักและอาหาร ค้าส่งค้าปลีก และภาคการผลิต ซึ่งสะท้อนปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาเชิงโครงสร้าง

เมื่อพิจารณาในมิติของประเภทธุรกิจเอสเอ็มอีกลุ่มที่มีหนี้เรื้อรังแล้ว พบว่า หนี้ที่เพิ่งมีวันค้างชำระ 1-30 วัน จะอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง บริการที่พักและอาหาร ค้าส่งค้าปลีก และภาคการผลิต (เป็นธุรกิจหลักของเอสเอ็มอีที่มีสัดส่วนสินเชื่อรวมกันถึง 75.8%) อันสะท้อนปัญหาเฉพาะหน้า ทั้งกำลังซื้อที่อ่อนแอและการแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จนกดดันยอดขายและคำสั่งซื้อของธุรกิจ มีผลซ้ำเติมความสามารถในการชำระหนี้ (รูปที่ 6) นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ธุรกิจบริการที่พักและอาหารเริ่มกลับมาแย่ลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งสอดคล้องกับการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง อันมีผลกับกลุ่มที่พักและร้านอาหารด้วยเช่นกัน

 
ส่วนปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีผลให้หนี้เอ็นพีแอล (ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป) ของธุรกิจหลักข้างต้นมีทิศทางที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คงหนีไม่พ้นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กดดันอำนาจซื้อ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น การแข่งขันกับทุนต่างชาติ รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป สงครามการค้าที่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานต่างๆ และเพิ่มกฎระเบียบทางการค้า ซึ่งย่อมจะมีผลกระทบทำให้มีสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศมาทุ่มตลาดในไทย (อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า หลังจากที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ลดลง) และทำให้ภาคการผลิตในหลายผลิตภัณฑ์ต้องปรับลดกำลังการผลิตลง ดังนั้น ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นล้วนแล้วแต่กดดันรายได้และขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยให้เอาตัวรอดยากขึ้นในยุคที่โลกการค้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

หากรากของปัญหายังไม่ถูกแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ปี 2568 จะเป็นอีกปีที่จะเจอวังวนของปัญหาเดิม

ปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพที่เพิ่มขึ้น แม้จะเป็นเป็นมาตรวัดลักษณะ Lagging Indicator แต่ทิศทางที่ยังไม่ดีขึ้น ย้ำผลกระทบของปัญหาที่สั่งสมมาหลากหลายประเด็นข้างต้น ซึ่งขมวดกลับไปที่ต้นเหตุของปัญหาคือ สภาพเศรษฐกิจและปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ต้องการการผลักดันและความต่อเนื่องของภาครัฐในการ ‘ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ’ เพื่อสร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ๆ นอกเหนือจากการเสริมศักยภาพของตัวผู้ประกอบการ และมาตรการปรับโครงสร้างหนี้จากภาคการเงินเพื่อประคองปัญหาหนี้สินเฉพาะหน้า ดังที่ ธปท.และธนาคารพาณิชย์ได้ดำเนินการมาแล้ว และอาจสามารถดำเนินการเพิ่มเติมอีกในอนาคต เช่น การขยายเวลาการปรับโครงสร้างหนี้ให้ยาวขึ้นสำหรับกลุ่มที่มีปัญหา ควบคู่ไปกับมีมาตรการช่วยเหลือสถาบันการเงินเพื่อให้ไปช่วยเหลือลูกหนี้ในกรอบระยะเวลาที่ยาวขึ้น

 
ตราบใดที่ต้นเหตุของปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ปี 2568 จะเป็นอีกปีที่เราจะเผชิญกับปัญหาสินเชื่อใหม่ที่เติบโตต่ำท่ามกลางตลาดผู้กู้ที่มีศักยภาพในการชำระหนี้ที่จำกัดลง และหนี้ด้อยคุณภาพที่ยังจะมีทิศทางเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้ผู้ให้บริการสินเชื่อมีภาระในการดูแลหนี้เสียที่ยังสูง กระทบต่อความสามารถในการทำกำไร (รูปที่ 7) ขณะที่ ผู้ประกอบการและครัวเรือนที่ประสบปัญหาเรื้อรังอาจต้องหันไปพึ่งหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งผลสำรวจของ สสว.ในไตรมาส 3/2567 ชี้ว่าธุรกิจเอสเอ็มอีพึ่งพาหนี้นอกระบบเพิ่มมากขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า (รูปที่ 8)

 
ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำนวน 400 ตัวอย่าง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 (รูปที่ 9) ชี้ถึงความต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการทางออกที่ยั่งยืนจากภาครัฐ นั่นคือ อันดับแรก การสนับสนุนเศรษฐกิจภาพรวม เพื่อให้เกิดผลดีต่อรายได้ของธุรกิจ (28.5%) อันดับที่สอง การจัดตั้งหน่วยงานเพื่อให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสและความสะดวกในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน (22.7%) ซึ่งสะท้อนความต้องการในการเพิ่ม Financial Literacy ของลูกค้าธุรกิจ อันดับที่สาม การช่วยเป็นตัวกลางในการเจรจากับเจ้าหนี้ เพื่อลดภาระหนี้/ปรับโครงสร้างหนี้ (22.0%) อันเป็นมาตรการประคองและต่อลมหายใจเฉพาะหน้า

ฝั่งความต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อสถาบันการเงิน จะเน้นใน 3 เรื่อง คือ การปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ยอดผ่อนต่อเดือนสอดคล้องกับรายได้ การปรับเงื่อนไขและขั้นตอนการขอสินเชื่อ ตลอดจน การกำหนดค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับความเสี่ยงกับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งในประเด็นหลังคือ Risk-Based Pricing ที่หากลูกค้ามีความเสี่ยงต่ำ ควรได้ดอกเบี้ยที่ต่ำลง แต่หากมีความเสี่ยงสูง ก็ควรถูกคิดอัตราดอกเบี้ยที่แพงขึ้น

บันทึกโดย : วันที่ : 06 ธ.ค. 2567 เวลา : 19:21:27
26-12-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (26 ธ.ค.2567) ลบ 3.05 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,397.80 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (26 ธ.ค.67) ลบ 5.02 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,395.83จุด

3. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับที่ระดับ 2,610 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,645 เหรียญ

4. ประเทศไทยอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศา "ยอดดอย" หนาวถึงหนาวจัด 5 องศา "ยอดภู" 7 องศา

5. ตลาดหุ้นไทยเปิด (26 ธ.ค.67) ลบ 0.03 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,400.60 จุด

6. ทองเปิดตลาดวันนี้ (26 ธ.ค. 67) ปรับขึ้น 150 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 43,050 บาท

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (26 ธ.ค.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 34.19 บาทต่อดอลลาร์

8. ประกาศ กปน.: 26 ธ.ค. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนแจ้งวัฒนะตัดถนนเลี่ยงเมืองปากเกร็ด

9. ตลาดหุ้นปิด (25 ธ.ค.2567) บวก 6.18 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,400.85 จุด

10. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 ธ.ค.2567) บวก 4.35 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,399.02 จุด

11. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.67) พุ่ง 390.08 จุด หุ้นเทคฯ-หุ้น Growth Stocks หนุนตลาด

12. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.67) บวก 7.30 เหรียญ ตลาดจับตาทิศทางดอกเบี้ยเฟด

13. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,605 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,640 เหรียญ

14. "ยอดดอย" หนาวถึงหนาวจัด 5 องศา มีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ "ยอดภู" 7 องศา "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก" อุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศา

15. ตลาดหุ้นไทยเปิด (25 ธ.ค.67) บวก 5.68 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,400.35 จุด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 26, 2024, 8:12 pm