เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Special Report : เศรษฐกิจไทย 2025 ส่อแววโตต่ำลง จากความเสี่ยงสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ฉุดส่งออกไทย


 

จากชัยชนะของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้ง ด้วยความสุดโต่งทางเสรีนิยมของทรัมป์ ที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของสหรัฐเป็นที่ตั้ง การสานต่อนโยบายปกป้องเศรษฐกิจภายใน (Protectionism) โดยเฉพาะการสกัดอำนาจกับทางการจีน อย่างการเตรียมตั้งกำแพงภาษีนำเข้ากับทางจีนที่สูงถึง 60% จึงมีความเสี่ยงอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ที่มีแนวโน้มเสียดุลทางการค้ากับจีน และต้องรับภาระหนักในตลาดส่งออกมากขึ้น ซึ่งอาจฉุดรั้งให้ GDP ไทยในปีหน้า อาจโตต่ำลงน้อยกว่า 3% ตามที่เคยประมาณการณ์ไว้ก่อนหน้า
 
จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยลงในปี 2025 จาก 2.6% ลดลงมาอยู่ที่ 2.4% สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับคุณชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยช่วงปีหน้าจะเติบโตไม่ถึง 3% เนื่องมาจากมรสุมทางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ-จีน ที่มีความเสี่ยงเกิดสงครามทางการค้า หรือ Trade War ระลอกใหม่ที่มีแนวโน้มรุนแรงกว่าเดิม หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกนโยบายเตรียมขึ้นภาษีนำเข้า ที่เน้นเก็บภาษีกับทางจีนด้วยอัตราสูงเป็นพิเศษถึง 60% อีกทั้งทรัมป์ยังแต่งตั้งสมาชิกคณะรัฐบาลชุดใหม่ ที่ในฝั่งของการบริหารกิจการระหว่างประเทศ ได้เสนอชื่อให้มาร์โก รูบิโอ สว.รัฐฟลอริดา เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และ ไมค์ วอลท์ซ สส.รัฐฟลอริดา เป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งทั้ง 2 คนนี้มีจุดยืนในการต่อต้านจีนอย่างแข็งกร้าวมาโดยตลอด
 
ด้วยความสุ่มเสี่ยงของความขัดแย้งดังกล่าวที่ฉาบหน้าด้วยสงครามทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่อการลงทุนและการค้าโลก เนื่องจากสงครามดังกล่าว มีแนวโน้มส่งผลกระทบทั้งทางด้านสถานการณ์เงินเฟ้อที่อาจพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง อันทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอาจหยุดลดอัตราดอกเบี้ย และยังกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศอื่นๆ ซึ่งอาจฉุดรั้งให้เศรษฐกิจของประเทศที่มีความเปราะบางอยู่แล้ว ย่ำแย่ลงไปอีก
 
โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเปราะบางทางด้านเศรษฐกิจอยู่แล้ว จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ได้ฉุดรั้งให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่สัมพันธ์กับการจ้างงานในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับภาพรวมอุตสาหกรรมของประเทศ เกิดความอ่อนแออยู่แล้วเป็นทุนเดิม ฉะนั้นที่พึ่งของเศรษฐกิจไทย นอกจากภาคการท่องเที่ยวแล้ว จึงตกไปอยู่ที่ภาคการผลิตที่เน้นไปถึงการส่งออก โดยเฉพาะอาหารและผลผลิตทางการเกษตร (ที่ไทยเป็น 1 ในผู้ผลิตที่สำคัญของโลก) เนื่องจากถ้าสินค้าส่งออกเติบโต ก็จะทำให้มีเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ และทำให้เหล่า SMEs ที่อยู่ในสายการผลิตดังกล่าวมีการเติบโต
 
แต่เมื่อเกิดสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จีนจากที่เคยทำการค้ากับสหรัฐซึ่งเป็นตลาดใหญ่ (สินค้าอุปโภคบริโภคที่ประชาชนชาวอเมริกาใช้นั้นมีสัดส่วนเป็นสินค้านำเข้าที่สูงมาก ซึ่ง 90% ของสินค้าที่ใช้มาจากซัพพลายเออร์ รายใหญ่ของจีนทั้งหมด) ก็ต้องเบี่ยงทิศทางไปหาตลาดใหม่ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อกรณีสินค้าจีนทะลักเข้าประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย ที่เอื้อต่อการนำเข้าสินค้าจีนอย่างเขตการค้าเสรี ทำให้ไทยมีโอกาสขาดดุลทางการค้ากับทางจีนมากขึ้นไปอีก
 
และถึงแม้ตลาดสหรัฐ จะเกิดช่องว่างจากที่สินค้าจีนไม่สามารถเข้ามาได้ ซึ่งอาจจะเป็นโอกาสให้การส่งออกไทยได้เติมเต็มช่องว่างดังกล่าว แต่ก็ต้องแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ที่เห็นโอกาสเดียวกัน ทำให้เกิดสภาวะการแข่งขันสูง ซึ่งด้วยขีดความสามารถในการผลิตของไทยที่ลดลง ประกอบกับหมวดสินค้าที่โดดเด่นแค่ภาคการเกษตรเท่านั้น ไม่ได้มีการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างจริงจังเหมือนกับประเทศอื่น ๆ ทำให้ภาคการส่งออกไทยอาจไม่ได้มีความน่าสนใจมากนักในตลาดโลก
 
ดังนั้นการหวังพึ่งการส่งออก ให้เป็นพระเอกในการหนุนนำเศรษฐกิจไทยในปีหน้า จึงเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการ และเรียกได้ว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย” หากเทียบกับผลกระทบของการเสียดุลทางการค้ากับทางจีน แลกมาด้วยดุลทางการค้ากับทางสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเพียงน้อยนิด ซึ่งอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในไทย (นอกจากสินค้าภาคการเกษตร) ก็ยังมีการเติบโตที่ต่ำอยู่และยังไม่สามารถแข่งขันในเวทีโลก ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่คอยฉุดรั้งต่อไปยังอัตราการจ้างงานที่ลดลง และทำให้เศรษฐกิจไทยอาจยังทำ Performance ไม่ค่อยดีมากนักในปีหน้าที่จะถึงนี้

LastUpdate 08/12/2567 21:04:58 โดย : Admin
27-12-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (26 ธ.ค.2567) ลบ 3.05 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,397.80 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (26 ธ.ค.67) ลบ 5.02 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,395.83จุด

3. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับที่ระดับ 2,610 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,645 เหรียญ

4. ประเทศไทยอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศา "ยอดดอย" หนาวถึงหนาวจัด 5 องศา "ยอดภู" 7 องศา

5. ตลาดหุ้นไทยเปิด (26 ธ.ค.67) ลบ 0.03 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,400.60 จุด

6. ทองเปิดตลาดวันนี้ (26 ธ.ค. 67) ปรับขึ้น 150 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 43,050 บาท

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (26 ธ.ค.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 34.19 บาทต่อดอลลาร์

8. ประกาศ กปน.: 26 ธ.ค. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนแจ้งวัฒนะตัดถนนเลี่ยงเมืองปากเกร็ด

9. ตลาดหุ้นปิด (25 ธ.ค.2567) บวก 6.18 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,400.85 จุด

10. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 ธ.ค.2567) บวก 4.35 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,399.02 จุด

11. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.67) พุ่ง 390.08 จุด หุ้นเทคฯ-หุ้น Growth Stocks หนุนตลาด

12. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.67) บวก 7.30 เหรียญ ตลาดจับตาทิศทางดอกเบี้ยเฟด

13. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,605 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,640 เหรียญ

14. "ยอดดอย" หนาวถึงหนาวจัด 5 องศา มีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ "ยอดภู" 7 องศา "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก" อุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศา

15. ตลาดหุ้นไทยเปิด (25 ธ.ค.67) บวก 5.68 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,400.35 จุด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 27, 2024, 4:33 am