เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประกาศกำไรสุทธิ ปี 2567 จำนวน 2,852.1 ล้านบาท เติบโต 77.7% 21 มกราคม 2568


กำไรสุทธิ 2,852.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77.7% หรือ 1,246.8 ล้านบาท 
• รายได้จากการดำเนินงาน 15,102.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% หรือ 1,331 ล้านบาท    
• รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 237.4 ล้านบาท หรือ 19.9%
• เงินให้สินเชื่อของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 251.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6%  
• เงินฝากอยู่ที่ 324 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% 
• อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ 2.6% ลดลงจาก 3.3%  

 
พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีกำไรสุทธิจำนวน 2,852.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,246.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 77.7 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2566 สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง ร้อยละ 13.7  สุทธิกับการเพิ่มขึ้นในค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานร้อยละ 2.6

รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567  มีจำนวน 15,102.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  จำนวน 1,331 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.7 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2566 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการดำเนินงานอื่นจำนวน 1,388,8 ล้านบาท หรือร้อยละ 49.4  ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน หนี้สูญรับคืนและกำไรจากเงินลงทุนสุทธิกับการลดลงของกำไรสุทธิจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ   รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 237.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.9  ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากให้บริการชำระค่าสินค้าและบริการชำระเงิน และค่าธรรมเนียมการโอนเงินและเรียกเก็บเงิน สุทธิกับการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ จำนวน 295.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.0 เนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเติบโตสูงกว่าการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ย   

 
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2566 เพิ่มขึ้นจำนวน 224.7 ล้านบาทหรือร้อยละ 2.6 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าเผื่อการด้อยค่าของทรัพย์สินรอการขายสุทธิกับการลดลงของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 อยู่ที่ร้อยละ 58.7 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2566 อยู่ที่ ร้อยละ 62.7 เป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้จากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin – NIM) สำหรับปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 2.2 ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 2.6 เป็นผลจากต้นทุนเงินฝากที่เพิ่มขึ้น

วันที่ 31 ธันวาคม 2567 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 251.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงิน    บางประเภท) จำนวน 324 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 จากสิ้นปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 310.4 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารลดลงเป็นร้อยละ 77.6 จากร้อยละ 78.9 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566

 
สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 6.7 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ร้อยละ 2.6 ลดลงเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 อยู่ที่ร้อยละ 3.3   สาเหตุเกิดจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในระหว่างงวด 2567 การบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การปรับปรุงการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ และกระบวนการในการเก็บหนี้
 
อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 อยู่ที่ร้อยละ 137.9  เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 124.2 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 9.0 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.5 พันล้านบาท

เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีจำนวน 59.8 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 21.6 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 17.0
 

LastUpdate 21/01/2568 14:03:14 โดย : Admin
22-01-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.80-34.00 บาท/ดอลลาร์

2. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (21 ม.ค.68) บวก 10.50 เหรียญ เหตุดอลลาร์อ่อนค่า-แรงซื้อทองสินทรัพย์ปลอดภัย

3. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (21 ม.ค.68) ทำนิวไฮ พุ่ง 537.98 จุด ตลาดคลายกังวลสงครามการค้า

4. ตลาดหุ้นไทยเปิด (22 ม.ค.68) บวก 2.94 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,355.47 จุด

5. ทั่วไทยอุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย "ยอดดอย" หนาวถึงหนาวจัด 4 องศา "ยอดภู" 7 องศา

6. ทองเปิดตลาดวันนี้ (22 ม.ค. 68) ปรับขึ้น 150 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 44,600 บาท

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (22 ม.ค.68) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 33.99 บาทต่อดอลลาร์

8. ตลาดหุ้นปิด (21 ม.ค.68) บวก 12.03 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,352.53 จุด

9. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (21 ม.ค.68) บวก 14.50 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,355.00 จุด

10. มวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังอ่อนลง อุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศา "ยอดดอย" หนาวจัด 3 องศา "ยอดภู" 7 องศา

11. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (21 ม.ค.67) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 34.10 บาทต่อดอลลาร์

12. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 2,700 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 2,730 เหรียญ

13. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.00-34.25 บาท/ดอลลาร์

14. ตลาดหุ้นไทยเปิดวันนี้ (21 ม.ค.68) เวลา 9.59 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,348.32 จุด บวก 7.82 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1,648.53 ล้านบาท

15. ทองเปิดตลาดวันนี้ (21 ม.ค. 68) ลดลง 50 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 44,400 บาท

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ January 22, 2025, 12:49 pm