
คาด SET ปรับลง จากแรงขายลดความเสี่ยงหลังมีปัจจัยลบใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างเหตุแผ่นดินไหวและกังวลสงครามการค้ารุนแรงขึ้น แต่หาก SET ปรับลงมาบริเวณ 1130 หรือใกล้ 1100 จุด มองว่า Risk/Reward น่าสนใจ และมองเป็น “โอกาสในวิกฤติ” สำหรับซื้อเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นที่มีพื้นฐานดี ประเมินแนวรับที่ 1145 - 1130 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1160 - 1175 จุด
ประเด็นสำคัญ
• ติดตามวันนี้ (เวลา 8.30) 6 องค์กร (นายกสภาวิศวกร, ประธาน ส.อ.ท., รองผู้ว่า ธปท., เลขาธิการ คปภ., เลขาธิการ ก.ล.ต. และผู้จัดการ ตลท.) จะแถลงการณ์ร่วมภาคเศรษฐกิจจริงและระบบทางการเงิน จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568
• สมาคมโรงแรมไทยคาดแผ่นดินไหวกระทบธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวระยะสั้น ฉุดรายได้ 10-15% ช่วง 2 สัปดาห์ ชี้สงกรานต์เป็นบททดสอบครั้งใหญ่ด้านความปลอดภัย ย้ำต้องรับมือให้ได้ก่อนความเชื่อมั่นหาย ยอมรับเป้าดึงต่างชาติ 39-40 ล้านคน ยากมาก
• ส.อ.ท. เผยหลังผู้นำสหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้ายานยนต์จากต่างประเทศทุกคันที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ โดยเริ่มจากอัตราฐานที่ 2.5% ไปจนถึงอัตราสูงสุดที่ 25% มีผลตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. นี้ คาดจะทำให้ส่งออกของไทยลดลงประมาณ 10%
• สศอ. เผยดัชนี MPI ก.พ. ที่ 96.18 หดตัว 3.91%YoY และมีอัตราใช้กำลังผลิตอยู่ที่ 59.01% เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับที่สูงส่งผลให้การบริโภคเอกชนยังคงชะลอตัว สั่งจับตากำแพงภาษีสหรัฐคาดทำสินค้าจีนทะลักเข้าไทย
• ม. หอการค้าไทยประเมินเหตุแผ่นดินไหวจะกระทบต่อ GDP 2Q68 อาจพลิกติดลบ QoQ จากความไม่แน่นอนของ Aftershock, ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และความไม่มั่นใจต่อโครงสร้างพื้นฐานของอาคารสูงและทางยกระดับ ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและกิจกรรมทาง ศก.
• การใช้จ่ายผู้บริโภคสหรัฐฯ ก.พ. ฟื้นตัวน้อยกว่าคาด, Core PCE ปรับขึ้นมากสุดในรอบ 13 เดือน และม. มิชิแกนเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค. ลดลงสู่ 57.0 ต่ำกว่าคาดและต่ำสุดนับตั้งแต่ ก.ค. 2565
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัวผันผวน อาจมีแรงขายลดความเสี่ยงจากความกังวลผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสงครามการค้า หาก ปธน. ทรัมป์เดินหน้าขึ้นภาษีต่อเนื่องและมีการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าคาดจะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก และกดดันทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทำนิวโลว์ อย่างไรดีหาก SET ปรับตัวลงไปในช่วง 1,100-1,130 จุด จะเป็นโอกาสลงทุน เนื่องจากมี Downside จำกัด ขณะที่พิจารณาเศรษฐกิจของจีนยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงทั้งภาคการผลิตและบริการจากความไม่ชัดเจนของนโยบายภาษี แต่มองจะไม่แย่อย่างที่ตลาดกังวล ด้านเงินเฟ้อไทย มี.ค. น่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. มากนัก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยอาจมีแรงขายลดความเสี่ยงจากความกังวลผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสงครามการค้า ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักและ 3 ธีมเทรดดิ้งที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ Div. Yield อย่างน้อย 3% หุ้น SET50 ที่ ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100 BCH BTG
2. หุ้นปันผลคุณภาพดี โดย 1) สถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปี และ 2) คาดจ่ายปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว Div. Yield สูงเกิน 4% และ Div. Payout Ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว แนะนำ KTB BBL KBANK
3. หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อย 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC MINT AMATA BJC CPF
4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่คาดได้ผลบวกทางอ้อมจากเหตุแผ่นดินไหว HMPRO SCCC TRUE ADVANC STECON 2) Domestic Play หากกังวลสงครามการค้ารุนแรงขึ้น CPALL ADVANC TRUE BTG BCH และ 3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากเข้าสู่ เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ จากสถิติให้ผลตอบแทนช่วง เม.ย. เฉลี่ย 2.8% ใน เม.ย. ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT CPALL) กลุ่มท่องเที่ยว (MINT) และกลุ่มการแพทย์ (BCH BDMS)
DAILY TOP PICKS
SCCC: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศที่จะเพิ่มขึ้นจากเหตุแผ่นดินไหว เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากมีแนวโน้มรายงานกำไรเติบโตในระดับที่น่าสนใจที่สุดในปีนี้ หลังตั้งแต่ มี.ค. ผู้ผลิตปูนซีเมนต์มีการปรับขึ้นราคาปูนซีเมนต์ถุง 20% ทั้งนี้วันนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกินหุ้นละ 160 บาท
DIF: มองเป็นหุ้นปลอดภัยภายใต้ตลาดผันผวน โดย 1Q68 คาดกำไรปกติจะเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ แรงหนุนจากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีกทั้งยังมีจุดเด่นจ่ายปันผลสูง โดยปี 2568 คาดมีเงินปันผลจ่ายราว 0.9 บาท/หน่วย คิดเป็น Div. Yield สูงราวปีละ 11% ทั้งนี้วันนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกินหุ้นละ 8 บาท
ข่าวเด่น