กองทุนรวม
กยศ. ชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินงานตาม พ.ร.บ. ใหม่ และประเด็นเรื่องการหักเงินเดือนเพิ่ม


 
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินงาน เพื่อมุ่งช่วยเหลือผู้กู้ยืมลดภาระหนี้ เพิ่มโอกาสการศึกษา โดยการปรับโครงสร้างหนี้ตาม พ.ร.บ. ฉบับใหม่ พ.ศ. 2566 การลดเบี้ยปรับเหลือเพียง 0.5% ต่อปี การเปลี่ยนลำดับการตัดชำระหนี้ใหม่เป็น "เงินต้น - ดอกเบี้ย - เบี้ยปรับ" การปลดผู้ค้ำประกันทันทีเมื่อทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ และให้โอกาสผู้กู้ยืมผ่อนชำระรายเดือนสูงสุด 15 ปี ซึ่งปัจจุบันมีผู้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้วกว่า 598,000 บัญชี และมีผู้ขอคืนเงินที่ชำระเกินแล้วกว่า 26,000 บัญชี รวมทั้งขอชี้แจงประเด็นเรื่องการหักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาท
 
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเปิดเผยว่า เนื่องจากสาระสำคัญของพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 คือ การปรับลำดับการชำระหนี้ใหม่ โดยเรียงลำดับการชำระเป็น “เงินต้น – ดอกเบี้ย – เบี้ยปรับ” แทนแบบเดิม เปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเป็น 1% ต่อปี พร้อมทั้งลดอัตราเงินเพิ่ม (เบี้ยปรับ) จากสูงสุด 18% ต่อปี เหลือเพียง 0.5% ต่อปี รวมทั้งให้มีการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืม คำนวณยอดหนี้ใหม่ (Recalculation) และคืนเงินชำระหนี้ส่วนเกินให้แก่ผู้กู้ยืม ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าว จะทำให้ผู้กู้ยืมได้รับประโยชน์ ดังนี้ 
 
การปรับโครงสร้างหนี้ สามารถปลดภาระผู้ค้ำประกันได้ทันที ผู้กู้ยืมสามารถผ่อนชำระเงินคืน กยศ. เป็นรายเดือนในอัตราเท่ากันภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน และสามารถชำระให้เสร็จสิ้นได้นานถึง 15 ปี โดยในการชำระเงินงวดสุดท้าย ผู้กู้ยืมเงินต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์และเมื่อชำระหนี้งวดสุดท้ายเสร็จสิ้น กยศ.จะให้ส่วนลดเบี้ยปรับเดิมที่ตั้งพักไว้ทั้งหมด 100% แต่หากผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้สะสมเกิน 6 งวด จะถือว่าสัญญาปรับโครงสร้างสิ้นสุดลง และจะไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤษภาคม 2568 มีผู้กู้ยืมมาทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ รวมทั้งสิ้น 598,334 บัญชี แบ่งเป็น สัญญาปรับโครงสร้างหนี้แบบกระดาษจำนวน 261,110 บัญชี และสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แบบออนไลน์ จำนวน 337,224 บัญชี โดยผู้กู้ยืมสามารถดำเนินการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์ได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ www.studentloan.or.th และยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน ThaiD
 
การคำนวณยอดหนี้ใหม่ (Recalculation) ให้แก่ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืน จำนวน 3,835,213 บัญชี โดย กยศ. นำรายการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมแต่ละรายที่ได้ชำระเงินคืนนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระหนี้ครั้งแรกมาคำนวณหนี้ใหม่ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. ฉบับใหม่ โดยเปลี่ยนลำดับการตัดชำระหนี้โดยตัดชำระเงินต้นเฉพาะส่วนที่ครบกำหนด ดอกเบี้ย และเบี้ยปรับตามลำดับ คิดดอกเบี้ยในอัตรา 1% ต่อปี และลดเบี้ยปรับเหลือเพียงอัตรา 0.5% ต่อปี ซึ่งผลจากการคำนวณปรากฏว่ามีผู้กู้ยืมที่มียอดหนี้ลดลง 3,548,016 บัญชี กลุ่มที่มียอดหนี้เท่าเดิม 755 บัญชี และกลุ่มที่ไม่มีหนี้คงเหลือ (ปิดบัญชี) 80 บัญชี โดยมีผู้กู้ยืมที่มีสิทธิขอรับคืนเงินที่ชำระหนี้เกิน จำนวน 286,362 บัญชี ซึ่งปัจจุบันมีผู้กู้ยืมลงทะเบียนขอรับเงินคืนแล้ว จำนวน 26,463 บัญชี และได้คืนเงินไปแล้วจำนวน 2,602 บัญชี เป็นเงินทั้งสิ้น 73.70 ล้านบาท สำหรับการคืนเงินส่วนที่ชำระหนี้เกินดังกล่าว กยศ. จะคืนเงินผ่านระบบโอนเงินแบบพร้อมเพย์ที่ผูกบัญชีธนาคารด้วยเลขประจำตัวประชาชนของผู้กู้ยืมเท่านั้น และแบ่งการคืนเงินให้ผู้กู้ยืมแต่ละรายเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจะคืนเงินให้ในอัตรา 70% ของยอดเงินที่คำนวณได้ และส่วนที่ 2 จะคืนเงินให้เมื่อ กยศ.คำนวณหนี้ผ่านระบบ DSL แล้วเสร็จ และหากว่าผู้กู้ยืมยังมีเงินส่วนที่ชำระเกิน โดย กยศ. จะคืนเงินส่วนที่เหลือให้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามหากผู้กู้ยืมได้รับคืนเงินส่วนแรกเกินสิทธิ กยศ. จำเป็นต้องเรียกเงินส่วนเกินคืน ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนสามารถเข้าระบบตรวจสอบสถานะบัญชีผู้กู้ยืมเงินที่เว็บไซต์ www.studentloan.or.th ซึ่งหากมีสิทธิได้รับเงินคืนจะสามารถลงทะเบียนขอรับเงินคืนได้ โดยผู้กู้ยืมจะได้รับเงินคืนภายในเดือนพฤษภาคม 2568 อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแอปพลิเคชัน กยศ. Connect ขณะนี้ยังไม่สามารถรองรับระบบการคำนวณหนี้ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ กยศ. อยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชันเวอร์ชันใหม่ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และครอบคลุมยิ่งขึ้น
 
การหักเงินเดือนเพิ่ม สำหรับระบบการหักเงินเดือนผ่านองค์กรนายจ้าง ที่ผ่านมา กยศ. ได้ดำเนินการหักเฉพาะยอดหนี้ปีปัจจุบัน ไม่รวมยอดหนี้ค้างในปีก่อนหน้า ซึ่งบางรายจะมียอดหนี้ค้างเก่าทำให้ในเดือนเมษายน 2568 ในส่วนของการรองรับผู้กู้ยืมที่ได้รับผลกระทบจากการหักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาทต่อบัญชี กยศ. มีแนวทางดูแลเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
 
1. กรณีผู้กู้ที่ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้ว จะต้องชำระยอดหนี้ในงวดแรกด้วยตนเอง พร้อมแจ้งให้นายจ้างทราบ เพื่อป้องกันการถูกหักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาทในเดือนนั้น โดยการหักเงินเดือนตามสัญญาใหม่จะเริ่มตั้งแต่งวดที่ 2 เป็นต้นไป
 
2. กรณีผู้กู้ที่ยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ และไม่สามารถให้หักเงินเดือนเพิ่มได้ สามารถยื่นขอปรับลดจำนวนเงินหักเดือนละ 3,000 บาท ได้ทางเว็บไซต์ กยศ. โดยยื่นภายในวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สำหรับงวดเดือนพฤษภาคม หรือยื่นภายในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 สำหรับงวดเดือนมิถุนายน
 
โดย กยศ. จะพิจารณาและแจ้งผลผ่าน SMS พร้อมส่งข้อมูลให้กับนายจ้างผ่านระบบ e-PaySLF
มาตรการลดหย่อนหนี้ กยศ. ได้ออกมาตรการลดหย่อนหนี้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้กู้ชำระหนี้ปิดบัญชีในช่วงวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 โดยมอบส่วนลดต้นเงิน 5 – 10% และส่วนลดเบี้ยปรับ 100% สำหรับผู้กู้ที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี และยังอยู่ในระยะเวลาปลอดหนี้หรือกำลังชำระหนี้อยู่ โดยสามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิได้ทางเว็บไซต์ กยศ.
 
สุดท้ายนี้ กยศ. ขอให้ผู้กู้ยืมทุกคนที่เคยได้รับโอกาสจาก กยศ. ชำระเงินคืน เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่รุ่นน้องต่อไป เพื่อให้เยาวชนไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 21 พ.ค. 2568 เวลา : 12:33:35
07-06-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 14 มิ.ย. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำสำโรง

2. ตลาดหุ้นปิด (6 มิ.ย.68) ลบ 4.20 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,136.43 จุด

3. พยากรณ์อากาศวันนี้ (6 มิ.ย.68) ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนอง ภาคใต้ ฝั่ง ตต.ฝน 70% ภาคตะวันออก 60% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคอีสาน-ภาคใต้ ฝั่ง ตอ. 40% ภาคเหนือ-ภาคกลาง 30%

4. ทองเปิดตลาดวันนี้ (6 มิ.ย. 68) ลดลง 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,800 บาท

5. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (5 มิ.ย.68) ร่วง 24.10 เหรียญ เหตุนักลงทุนแห่เทขายทอง หลังเจรจาการค้าจีน-สหรัฐฯคืบหน้า

6. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (5 มิ.ย.68) ร่วง 108 จุด เหตุหุ้น Tesla ร่วงฉุดดัชนี หลังทรัมป์-มัสก์ บาดหมางรุนแรง

7. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (6 มิ.ย.68) ลบ 8.19 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,132.44 จุด

8. ตลาดหุ้นไทยเปิดวันนี้ (6 มิ.ย. 68) ลบ 1.64 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,138.99 จุด

9. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีแนวรับที่ระดับ 3,350 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 3,390 เหรียญ

10. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (6 มิ.ย.68) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 32.61 บาทต่อดอลลาร์

11. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.50-32.75 บาท/ดอลลาร์

12. ตลาดหุ้นปิด (5 มิ.ย.68) บวก 8.61 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,140.63 จุด

13. ประกาศ กปน.: 12 มิ.ย. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนพุทธมณฑลสาย 3

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (5 มิ.ย.68) บวก 7.26 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,139.28 จุด

15. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 3,340 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 3,390 เหรียญ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ June 7, 2025, 7:23 am