เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
วิจัยกรุงศรีวิเคราะห์ "เศรษฐกิจโลก ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าสูงขึ้นอีกครั้งหลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าสูงถึง 20-50% ขณะที่ภาวะอุปทานส่วนเกินกดดันเศรษฐกิจจีนต่อเนื่อง"


สหรัฐฯ


เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนขึ้นใน 2H68 คาดหนุนเฟดปรับลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐฯ ลดลง 5,000 ราย สู่ระดับ 227,000 รายในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 กรกฎาคม ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม รายงานจาก ADP ระบุว่า ธุรกิจเอกชนลดการจ้างงานลงในเดือนมิถุนายน ซึ่งลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่เผชิญความไม่แน่นอน 

ความตึงเครียดทางการค้าสูงขึ้นหลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากกว่า 27 ประเทศ ในอัตรา 20–50% รวมถึงการปรับขึ้นภาษีนำเข้าทองแดงที่ 50% โดยจะมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม นอกจากนี้ ยังมีแผนขึ้นภาษีนำเข้ายาในอัตราสูงถึง 200% ซึ่งอาจซ้ำเติมห่วงโซ่อุปทานและค่าครองชีพของผู้บริโภค ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้ท่ามกลางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากแรงกดดันด้านการค้า นโยบายจำกัดผู้อพยพ สภาพการเงินที่ตึงตัว และหนี้เอกชนที่สูง จากปัจจัยดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2-3 ครั้ง ในปีนี้
 
 
 
ญี่ปุ่น
 
คาด BOJ คงอัตราดอกเบี้ยจนถึงสิ้นปีภายใต้ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่สูงขึ้นและเงินเฟ้อที่มีทิศทางชะลอตัว ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) รายงานว่า ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นปรับลดราคารถยนต์ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนลงถึง 19.4% YoY ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากสุดนับตั้งแต่ปี 2559 สะท้อนว่าบริษัทญี่ปุ่นยอมลดกำไรเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน หลังสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่น 25% ตั้งแต่เดือนเมษายน

อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นมีแนวโน้มผ่อนคลายลงในครึ่งหลังของปีจากแรงหนุนของมาตรการภาครัฐ เช่น การระบายข้าวในสต็อกและเงินอุดหนุนพลังงาน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงภายนอกประเทศยังคงสูง โดยเฉพาะประเด็นความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้า 25% กับสินค้าเกษตรและยานยนต์จากญี่ปุ่นหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าภายในวันที่ 1 สิงหาคม ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวรวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลง วิจัยกรุงศรีคาดว่า BOJ จะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมในระยะนี้ เพื่อประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไปจนถึงสิ้นปี 2568 นี้
 
 
จีน
 
จีนเผชิญแรงกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกินอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายนยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% YoY นานติดต่อกัน 28 เดือน ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตหดตัวแรงขึ้นจาก -3.3% เป็น -3.6% แรงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 สอดคล้องกับกำไรภาคอุตสาหกรรมซึ่งหดตัว -9.1% ในเดือนพฤษภาคมและ -1.1% ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำและดัชนีราคาผู้ผลิตที่ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนถึงปัญหาอุปทานส่วนเกินในภาคการผลิตและภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงฉุดรั้งภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม แม้รัฐบาลพยายามกระตุ้นอุปสงค์ผ่านมาตรการอุดหนุนการแลกซื้อสินค้าใหม่ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา วิจัยกรุงศรีประเมินว่าภาวะอุปทานส่วนเกินของจีนยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่ระดับอุปทานส่วนเกินจะไม่ส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้ หากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ กลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้ง ภาคการส่งออกอาจขยายตัวชะลอลง ซึ่งจะซ้ำเติมปัญหาในภาคการผลิตที่กำลังพึ่งพาอุปสงค์ต่างประเทศมากขึ้นในจังหวะที่อุปสงค์ในประเทศยังอ่อนแอ
 
 
เศรษฐกิจไทย
การส่งออกของไทยเผชิญความเสี่ยงถูกสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 36% หากการเจรจาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้ทันวันที่ 1 สิงหาคมนี้

วิจัยกรุงศรีประเมินกรณีเลวร้ายหากสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้ากับไทยในอัตรา 36% มูลค่าการส่งออกจะหายไปกว่า 1.62 แสนล้านบาท และหากยกเว้นภาษีนำเข้าแก่สหรัฐฯ ไทยอาจเสี่ยงเกิดภาวะ Twin Influx ในวันที่ 7 กรกฏาคม ไทยได้รับจดหมายจากสหรัฐฯ แจ้งเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตราสูงถึง 36% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้  หากไม่มีข้อตกลงทางการค้าใหม่เกิดขึ้น ล่าสุดรัฐบาลไทยได้ยื่นข้อเสนอทางการค้าปรับปรุงเพิ่มเติม (ดังตาราง) หลังการเจรจารอบแรกไม่ประสบความความสำเร็จ รวมถึงเร่งขอเจรจาเพื่อต่อรองให้ได้อัตราภาษีที่ลดลงต่ำกว่า 36%

 
 
หากสินค้าส่งออกของไทยต้องถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 36% ซึ่งนับเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงในบรรดาประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ และสูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งสามารถเจรจาลดอัตราภาษีเหลือ 20% (และ 40% สำหรับสินค้าที่ต้องสงสัยว่าถูกส่งผ่าน)  ในกรณีเลวร้ายนี้วิจัยกรุงศรีประเมินว่ามูลค่าการส่งออกของไทยจะหายไปถึง 1.621 แสนล้านบาท โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ  กลุ่มสิ่งทอ เครื่องหนังและรองเท้า อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า อาหารและเครื่องดื่ม ยางและพลาสติก

 
 
ส่วนกรณีหากไทยและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงทางการค้าที่มีลักษณะคล้ายกับข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนาม โดยที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 20% ขณะที่ไทยยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 0% ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอาจรุนแรงน้อยกว่ากรณีที่มีการเรียกเก็บภาษีที่ 36% ถึง 9.3 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่าส่งออกที่หายไป 0.174 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม การยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ดังกล่าวอาจเป็นการแก้ปัญหาหนึ่งแต่จะสร้างอีกปัญหาตามมา โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก จากแบบจำลองพบว่าในระยะยาวการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นถึง 27% หรือประมาณ 1.883 แสนล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าที่มีความอ่อนไหว อาทิ กลุ่มสินค้าเกษตร และอาหารและเครื่องดื่ม อาจเผชิญกับการหลั่งไหลเข้าของสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตรากว่า 100% ขณะที่กลุ่มสินค้าอื่น ๆ เช่น ยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง สิ่งทอ เครื่องหนังและรองเท้า ยางและพลาสติก ก็อาจมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในระดับเลขสองหลักเช่นกัน

การเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯมากขึ้นเพื่อแลกกับการลดภาษีอาจนำไปสู่ภาวะ "Twin Influx" หรือ การไหลทะลักเข้าของสินค้าจากสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการไหลทะลักของสินค้าจีนเข้าสู่ไทย ในท้ายที่สุด ภาวะ "Twin Influx" อาจบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมที่มีการจ้างงานถึง 28.6% ของกำลังแรงงาน (ปี 2567) ทั้งนี้ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่รุนแรงขึ้น ประเทศไทยอาจมีทางเลือกตอบโต้ที่จำกัด ดังนั้น จึงควรเร่งขยายตลาดและเจรจาการค้ากับประเทศอื่นๆมากขึ้น และหันมาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาวอย่างจริงจัง เพื่อลดแรงกดดันจากนโยบายการค้าของประเทศแกนหลัก
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 15 ก.ค. 2568 เวลา : 14:03:54
16-07-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (16 ก.ค.68) บวก 0.24 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,161.25 จุด

2. MTS Gold คาดราคาทองคำกลับเข้าสู่แนวโน้ม Sideways อีกครั้ง โดยมีกรอบแนวรับอยู่ที่ระดับ 3,320 เหรียญ และแนวต้านอยู่ที่ระดับ 3,350 เหรียญ

3. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (15 ก.ค.68) ร่วง 436.36 จุด เหตุดัชนี CPI สูงเกินคาด

4. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (15 ก.ค.68) ร่วง 22.4 เหรียญ เหตุเงินเฟ้อสูงหนุนเฟดตรึงดอกเบี้ยสูงต่อไป

5. พยากรณ์อากาศวันนี้ (16 ก.ค.68) ฝนตกหนักในภาคเหนือ 80% ภาคอีสาน-ภาคใต้ ฝั่งตต. 70% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคตะวันออก 60% ภาคกลาง-ภาคใต้ ฝั่งตอ. 40%

6. ตลาดหุ้นไทยเปิดวันนี้ (16 ก.ค. 68) ลบ 2.53 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,158.48 จุด

7. ทองเปิดตลาดวันนี้ (16 ก.ค. 68) ร่วงลง 250 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,150 บาท

8. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.40-32.65 บาท/ดอลลาร์

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (16 ก.ค.68) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 32.58 บาทต่อดอลลาร์

10. ตลาดหุ้นปิด (15 ก.ค.68) บวก 17.70 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,161.01 จุด

11. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (15 ก.ค.68) บวก 5.91 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,149.22 จุด

12. MTS Gold คาดราคาทองมีแนวรับอยู่ที่ระดับ 3,325 เหรียญ และมีแนวต้านอยู่ที่ระดับ 3,370 เหรียญ

13. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (14 ก.ค.68) ร่วง 4.9 เหรียญ นักลงทุนขายทองทำกำไรหลังราคาพุ่ง

14. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (14 ก.ค.68) บวก 88.14 จุด นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย หลังทรัมป์ประกาศรีดภาษี EU และเม็กซิโก

15. พยากรณ์อากาศวันนี้ (15 ก.ค.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคเหนือ-ภาคอีสาน-ภาคตะวันออก" ฝนฟ้าคะนอง 60% ภาคกลาง 40% ภาคใต้ 40-60%

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ July 16, 2025, 3:38 pm