เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ "ส่งออกตู้เย็นและตู้แช่แข็งของไทยไปสหรัฐฯ คาดจะหดตัว 2.1% ในปี 2568 จากภาษีทรัมป์"


· การจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบแทน (Reciprocal Tariff) 19% ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทย คาดว่าจะกดดันการส่งออกตู้เย็นและตู้แช่แข็งบางประเภท ในขณะที่ บางรุ่นยังแข่งขันได้ แต่โดยรวมผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น

· ตู้เย็นและตู้แช่แข็งที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ราว 38% เผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากการถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงขึ้น ส่งผลให้มูลค่าส่งออกในปี 2568 มีแนวโน้มจะหดตัว 2.1% YoY

สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญของตู้เย็นและตู้แช่แข็งไทย

ปัจจุบัน สหรัฐฯ นำเข้าตู้เย็นและตู้แช่แข็งจากไทยสูงเป็นอันดับ 4 รองจากเม็กซิโก เกาหลีใต้ และจีน ในขณะที่สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลักของไทย คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าส่งออกรวม โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ไทยส่งออกตู้เย็นและตู้แช่แข็งไปสหรัฐฯ คิดเป็น 38% ของมูลค่าส่งออกไปตลาดโลก (รูปที่ 1) โดยส่วนใหญ่กว่า 78% เป็นตู้เย็น 2 ประตู (รูปที่ 2)

 
 
Reciprocal Tariff และภาษีเหล็กกระทบต้นทุนส่งออกตู้เย็นและตู้แช่แข็ง

การที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) จากไทยในอัตรา 19% รวมถึงภาษีส่วนประกอบเหล็กในอัตรา 50% ภายใต้ Section 232 ส่งผลให้ต้นทุนการส่งออกตู้เย็นและตู้แช่แข็งไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น

ปัจจุบัน คู่แข่งหลักของไทย ได้แก่ เม็กซิโก จีน เกาหลีใต้ ทูร์เคีย และเวียดนาม (รูปที่ 3) ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบภาษีนำเข้ารวม (ตารางที่ 1) ไทยจะเสียเปรียบเกาหลีใต้ เวียดนาม เม็กซิโก (กรณี non-USMCA) และทูร์เคีย ในเชิงต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงได้เปรียบจีน

 
 
 
หลังขึ้นภาษี ไทยจะเผชิญการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ

เมื่อวิเคราะห์การแข่งขันของไทยในตลาดสหรัฐฯ แยกตามประเภทของตู้เย็นและตู้แช่แข็ง จะพบว่า

ตู้เย็น 2 ประตู – แข่งขันได้ดี โดยเฉพาะประเภท “ความจุ 269 – 382 ลิตร”

ตู้เย็น 2 ประตู ประเภทความจุมากกว่า 382 ลิตร เป็นประเภทหลักที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็น 71% ตามด้วยประเภทความจุ 269 – 382 ลิตร ที่ 23% (รูปที่ 4) เมื่อพิจารณาราคานำเข้าของประเทศคู่ค้าหลังการปรับขึ้นภาษี (รูปที่ 5) เพื่อวิเคราะห์รายรุ่นได้ดังนี้ พบว่า ในกลุ่มความจุ 269–382 ลิตร ราคานำเข้าของไทยสูงกว่าจีนเพียงเล็กน้อยหลังขึ้นภาษี แต่ส่วนต่างราคาลดลงถึง 25% จึงช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่กลุ่มความจุเกิน 382 ลิตร ราคานำเข้าของไทยต่ำกว่าคู่แข่งหลักทั้งก่อนและหลังขึ้นภาษี ส่งผลให้ไทยได้เปรียบในรุ่น Top Mount ซึ่งเน้นตลาดทั่วไป แม้จะไม่ได้

เปรียบชัดเจนในรุ่น Side-by-Side และ French Door ที่จับตลาดพรีเมียมซึ่งผู้บริโภคไม่อ่อนไหวต่อราคา อีกทั้งสินค้าในกลุ่มพรีเมียมยังเผชิญการแข่งขันจากเม็กซิโกซึ่งอาจได้เปรียบด้านภาษีนำเข้า ภายใต้ USMCA

 
 
ตู้เย็นประตูเดียว – แข่งขันได้ดีโดยเฉพาะประเภท “ความจุต่ำกว่า 184 ลิตร”

ตู้เย็นประตูเดียว ความจุต่ำกว่า 184 ลิตร เป็นประเภทหลักที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็น 63% (รูปที่ 6) หากพิจารณาด้านราคานำเข้าจากประเทศคู่ค้าการปรับขึ้นภาษี (รูปที่ 7) เพื่อวิเคราะห์รายรุ่นได้ดังนี้ พบว่า ในกลุ่มความจุต่ำกว่า 184 ลิตร ราคานำเข้าของไทยต่ำกว่าจีนหลังขึ้นภาษี จึงคาดว่าสามารถดึงดูดผู้บริโภคที่อ่อนไหวต่อราคาและแย่งส่วนแบ่งตลาดจากจีนได้ ขณะที่กลุ่มความจุมากกว่า 382 ลิตร ราคานำเข้าของไทยต่ำกว่าคู่แข่งก่อนและหลังขึ้นภาษี แต่ไทยยังคงเป็นรองทูร์เคียและจีนในด้านสัดส่วนการส่งออก เนื่องจากสินค้าของคู่แข่งไทย มีรุ่นและฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ตลาดผู้บริโภคสหรัฐฯ มากกว่า

 
 
ตู้แช่แข็ง – แข่งขันได้มากขึ้นหลังการขึ้นภาษีโดยเฉพาะ “ตู้แช่แข็งแนวตั้ง”

โดยสหรัฐฯ นำเข้าแช่แข็งแนวตั้งจากไทยมากที่สุด คิดเป็น 34% (รูปที่ 8) แซงหน้าจีนจากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเร่งส่งออกของไทยและการที่จีนถูกเก็บภาษีตอบโต้ช่วงต้นปี หากพิจารณาราคานำเข้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ (รูปที่ 9) โดยวิเคราะห์รายรุ่นได้ดังนี้ พบว่า ในกลุ่มตู้แช่แข็งแนวตั้ง ราคานำเข้าของไทยสูงกว่าจีนทั้งก่อนและหลังการขึ้นภาษี ทว่าการที่ส่วนต่างราคานำเข้าระหว่างตู้แช่แข็งจีนกับไทยลดลง 46% ทำให้ไทยเสียเปรียบน้อยลง

 
 
โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าส่งออกตู้เย็นและตู้แช่แข็งไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2568 จะหดตัวเพียง 2.1% หรือราว 714 ล้านดอลลาร์ฯ เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งส่งออกก่อนถึงกำหนดเริ่มเก็บภาษีตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2568 ทว่าหลังภาษี Reciprocal 19% มีผลบังคับใช้ คาดว่าการส่งออกจะหดตัว 16% ในช่วงที่เหลือของปี

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 02 ต.ค. 2568 เวลา : 17:01:35
03-10-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 9 ต.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำประชานุกูล

2. ตลาดหุ้นปิด (2 ต.ค.68) บวก 13.26 จุด ดัชนี 1,288.29 จุด

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (2 ต.ค.68) บวก 15.63 จุด ดัชนี 1,290.66 จุด

4. MTS Gold คาดราคาทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (uptrend) อย่างต่อเนื่อง กรอบแนวรับระยะสั้นวันนี้ที่ 3,840-3,820 เหรียญ แนวต้านที่ 3,890-3,910 เหรียญ

5. ตลาดหุ้นไทยเปิด (2 ต.ค.68) บวก 9.72 จุด ดัชนี 1,284.75 จุด

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (1 ต.ค.68) ทำนิวไฮ บวก 24.3 ดอลลาร์ ชัตดาวน์หน่วยงานสหรัฐหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

7. ทองเปิดตลาดวันนี้ (2 ต.ค. 68) ร่วงลง 250 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 60,100 บาท

8. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

9. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (1 ต.ค.68) บวก 43.21 จุด นักลงทุนเมินชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ

10. พยากรณ์อากาศวันนี้ (2 ต.ค.68) ฝนฟ้าคะนองในภาคเหนือ 60% กรุงเทพปริมณฑล และภาคอื่นๆ 40%

11. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (2 ต.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์

12. ตลาดหุ้นปิด (1 ต.ค.68) บวก 0.86 จุด ดัชนี 1,275.03 จุด

13. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 3,850 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 3,900 เหรียญ

14. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

15. ทองเปิดตลาดวันนี้ (1 ต.ค. 68) พุ่งพรวด 1,000 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 60,200 บาท

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 3, 2025, 6:45 am