เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
วิจัยกรุงศรีวิเคราะห์ เศรษฐกิจโลกและไทย "สงครามการค้า" ยิ่งยืดเยื้อ ยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจโลก สำหรับภาคท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ยังอ่อนแอ


สงครามการค้า 
 
ความขัดแย้งทางการค้ายังคงคุกกรุ่น เพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก โดยเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ทรัมป์ระบุว่าจะขึ้นภาษีนำเข้ากับจีนเพิ่มในอัตรา 100% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน และจะควบคุมการส่งออกซอฟท์แวร์ หลังจีนขยายมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน รวมถึงเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ใช้ผลิตสินค้าดังกล่าว ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม นอกจากนี้ สหรัฐฯ และจีนยังเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือระหว่างกันเพิ่มเติมตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม ยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์ยังขู่ว่า จะระงับการนำเข้าน้ำมันประกอบอาหารเพื่อตอบโต้จีนที่หันไปนำเข้าถั่วเหลืองจากประเทศในอเมริกาใต้แทนสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ทรัมป์กลับมีท่าทีอ่อนลงโดยระบุว่าการเก็บภาษีจากจีน 100% อาจไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่า อาจมีการขยายข้อตกลงลดภาษีนำเข้าระหว่างกันต่อ หากจีนชะลอมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก

วิจัยกรุงศรีมองว่า การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ กับจีนเป็นการ “ขู่” เพื่อให้ได้ข้อตกลงทางการค้าที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ ดังจะเห็นได้จากการที่สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการลดภาษีนำเข้ากับสหภาพยุโรปเพื่อแลกกับการขยายการลงทุนในสหรัฐฯ และการนำเข้าพลังงานมูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์ และ 7.5 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2571 ตามลำดับ จีนเองก็ตระหนักถึงความต้องการของสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน โดยในเดือนกันยายน จีนได้เสนอขยายการลงทุนในสหรัฐฯ โดยตั้งเงื่อนไขให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายการตรวจสอบการลงทุนและงดเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่บริษัทจีนนำเข้าไปผลิตในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่ากังวลคือ ในช่วงที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้านั้น การควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งจีนถือครองส่วนแบ่งตลาดโลกถึง 70% และแบตเตอรีลิเธียมไอออน รวมถึงการขึ้นค่าธรรมเนียมท่าเรือ จะเพิ่มภาระด้านต้นทุนให้กับผู้ผลิต และอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตในห่วงโซ่อุปทานโลก สุดท้ายแล้ว ยิ่งมาตรการกีดกันทางการค้าขยายวงกว้างและยืดเยื้อมากขึ้น ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน
 
โลก
 
ปี 2569 เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง และการค้าโลกอาจย่ำแย่ลง ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น  ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะชะลอลงจาก 3.3% ในปี 2567 เหลือ 3.2% ในปี 2568 และ 3.1% ในปี 2569 โดยการเติบโตในปี 2568 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งตัวของกิจกรรมในภาคการค้าและการส่งออกล่วงหน้า (front-loading effect) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการปรับเพิ่มภาษีศุลกากร  

การเติบโตของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอลงในปี 2569  เนื่องจากผลบวกจากการเร่งส่งออกหรือ front-loading กำลังทยอยลดลง ขณะที่ความเสี่ยงด้านขาลงมีมากขึ้น ได้แก่ (i) ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากรและมาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ (ii) ความกังวลเงินเฟ้อซึ่งจะจำกัดการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และ (iii) ความเสี่ยงทางการเมืองในหลายประเทศและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ด้านองค์การการค้าโลกหรือ WTO คาดว่าปริมาณการค้าสินค้าของโลกจะโตเพียง 0.5% ในปี 2569 ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 1.8% และย่ำแย่ลงจาก 2.4% ในปี 2568 ความเสี่ยงดังกล่าวมีแนวโน้มกระทบต่อกิจกรรมในภาคการผลิตและการค้า รวมถึงเศรษฐกิจโลกโดยรวม
 
 
ไทย
 
ทางการเตรียมกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีอาจต่ำกว่าคาด ในเดือนกันยายน มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย 2.24 ล้านคน หดตัว -11.3% YoY สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 9.94 หมื่นล้านบาท ลดลง -5.8% สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 24.1 ล้านคน ลดลง -7.6% YoY สร้างรายได้ 1.11 ล้านล้านบาท ลดลง -5.9%     

ท่ามกลางความซบเซาของภาคท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศ ล่าสุดรัฐบาลเตรียมออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศช่วงปลายปี โดยเบื้องต้นมีแนวทาง (i) ให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศช่วงวันที่ 29 ตุลาคม ถึง 15 ธันวาคม โดยการท่องเที่ยวในเมืองหลักลดหย่อนได้ 1 เท่า และในเมืองรอง 1.5 เท่า (ii) เร่งรัดการจัดสัมมนาของภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณเร็วขึ้น และ (iii) สนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมและที่พักสำหรับเมืองรอง โดยให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายได้  2 เท่า  อย่างไรก็ตาม แม้มาตรการดังกล่าวอาจช่วยพยุงอุปสงค์ภายในประเทศและลดผลกระทบจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติได้บางส่วน แต่วิจัยกรุงศรีประเมินว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2568 อาจต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 34 ล้านคน เนื่องจากการซบเซาของตลาดนักท่องเที่ยวจีน บวกกับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดภูมิภาคเดียวกัน
 
 

 


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 21 ต.ค. 2568 เวลา : 11:42:04
22-10-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (22 ต.ค.68) บวก 11.63 จุด ดัชนี 1,302.35 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (22 ต.ค.68) บวก 7.35 จุด ดัชนี 1,298.07 จุด

3. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับอยู่ที่ระดับ 4,060 เหรียญ และแนวต้านอยู่ที่ระดับ 4,150 เหรียญ

4. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (21 ต.ค.68) บวก 218.16 จุด รับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนแกร่ง-จับตาเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน

5. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (21 ต.ค.68) ร่วง 250.30 ดอลลาร์ เหตุนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังราคาทองพุ่งแรง

6. ภาคเหนือ-ภาคอีสาน อากาศเย็นในตอนเช้า กับมีลมแรง อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย / ภาคใต้ ฝนฟ้าคะนอง 70%

7. ตลาดหุ้นไทยเปิด (22 ต.ค.68) บวก 1.29 จุด ดัชนี 1,292.01 จุด

8. ทองเปิดตลาดวันนี้ (22 ต.ค. 68) ร่วงลงหนัก 2,500 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,550 บาท

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (22 ต.ค.68) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 32.89 บาทต่อดอลลาร์

10. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.70-32.95 บาท/ดอลลาร์

11. ตลาดหุ้นปิด (21 ต.ค.2568) บวก 6.25 จุด ดัชนี 1,290.72 จุด

12. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (21 ต.ค.68) บวก 4.12 จุด ดัชนี 1,288.59 จุด

13. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 4,310 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 4,380 เหรียญ

14. ทองเปิดตลาดวันนี้ (21 ต.ค. 68) พุ่งขึ้น 1,100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 67,900 บาท

15. ตลาดหุ้นไทยเปิด (21 ต.ค.68) บวก 5.24 จุด ดัชนี 1,289.71 จุด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 22, 2025, 9:58 pm