
“ประเทศไทย” เป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจขนาดกลาง ที่กำลังพัฒนาจากการพึ่งพาการลงทุนและการค้าจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยภาคส่วนที่หล่อเลี้ยง GDP ประเทศเกินกว่าครึ่งและเป็นหน้าเป็นตาให้กับไทยมากที่สุด คือภาคส่วนการท่องเที่ยว เครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ที่เคยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมากสุด 40 ล้านคนต่อปี เป็นส่วนสำคัญในตลาดแรงงาน และศูนย์กลางที่ผลักดันให้เกิดการเติบโตต่อทั้งในภาคส่วนของการค้า การส่งออก และการลงทุนจากต่างประเทศ แต่ในปัจจุบันที่โลกของเราผ่านความเป็นความตายของโรคระบาดไวรัสโควิด - 19 รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้การท่องเที่ยวอาจไม่สามารถตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไปแล้ว
ประเทศไทยนั้นติดกับดักรายได้ปานกลาง ที่ยังไม่สามารถก้าวเข้าสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วได้เสียที เนื่องจากเศรษฐกิจที่มีการเติบโตช้า จากผลของระบบการเมืองภายในประเทศที่ไม่เคยนิ่ง และการพึ่งพาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งแม้ว่าเคยใช้ได้ในอดีต แต่ปัจจุบันที่โลกเข้าสู่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ด้วยค่าเงินและการค้าระหว่างประเทศที่ผันผวน ทำให้อุปสงค์โลกมีความอ่อนแอลงในทุกด้าน ซึ่งหากพิจารณาจากสถานการณ์โลกปัจจุบัน ประเทศที่แม้จะแบกรับความเสี่ยงดังกล่าว แต่ก็ยังสามารถควบคุมศักยภาพทางเศรษฐกิจได้ คือ กลุ่มประเทศอุตสาหกรรม โดยเฉพาะประเทศที่เป็นผู้นำการผลิตในด้านเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมอนาคตต่าง ๆ อย่าง สหรัฐ จีน และเกาหลีใต้
ซึ่งความแตกต่างเมื่อเทียบกับประเทศไทยก็คือ พวกเขาอยู่ในบทบาทของผู้ผลิต หรือเจ้าของนวัตกรรมเทคโนโลยี ส่วนไทยอยู่ในบทบาทของ “ผู้ตาม” ที่ต้องพึ่งพาสินค้าและบริการทางเทคโนโลยี ไม่สามารถผลิตใช้เอง หรือเป็นส่วนสำคัญในระบบห่วงโซ่อุปทานได้ อาจจะมีความหวังขึ้นมาได้เล็กน้อยจากการดึงดูดบริษัทต่างชาติให้เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตในไทย แต่ถึงอย่างไร สถานะของประเทศเราก็ยังคงเป็นทางผ่านที่มีอำนาจต่อรองกับต่างประเทศต่ำ ซึ่งสร้างความเปราะบางต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงโดยตรง เช่น เรื่องภาษีนำเข้าของสหรัฐ การโดนแทรกแซงในประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา หรือการเข้าไปกลางวงสหรัฐ-จีน ในประเด็นเรื่องแร่หายากก็ตามที
ดังนั้น ทางออกของเศรษฐกิจไทย อาจจะมาถึงจุดที่เราต้องปฏิวัติโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อเปลี่ยนบทบาทมาเป็นตัวละครที่มีความสำคัญมากขึ้นบนเวทีโลก โดยเริ่มจากการลงทุนในคน หรือ Upskilling and Education ตั้งแต่การปรับหลักสูตรในสถาบันการศึกษาให้ตอบโจทย์ตลาดจริง โดยอาจมีการเปิดให้ภาคเอกชนร่วมกับมหาวิทยาลัยตั้งศูนย์ Upskilling ( เช่น Bootcamp ในด้านอาชีพทางเทคโนโลยี หรือสกิลเฉพาะทางที่สำคัญ) มีการให้นักศึกษาฝึกงานร่วมกับบริษัท เพื่อยกระดับจากแรงงานราคาถูก ไปเป็นแรงงานระดับ High Skill Worker ไปจนถึงคู่ค้าทางเทคโนโลยีที่สำคัญ ซึ่งสอดคล้องไปกับ การเลื่อนระดับห่วงโซ่คุณค่า Move Up the Value Chain ที่ภาครัฐมีการส่งเสริมสนับสนุนทุนวิจัยการพัฒนา (R&D) และการผลิตระดับสูง พร้อมกับการออกนโยบายภาษี หรือสิทธิประโยชน์เฉพาะกิจสำหรับ R&D, ศูนย์ทดสอบ หรือ Training Hubs ร่วมกับบริษัทต่างชาติเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ Know-How ด้านนวัตกรรมต่าง ๆ อันพ่วงมากับ การดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI ที่เน้นจับกลุ่มนักลงทุนที่มาพร้อมเทคโนโลยีสำคัญ อย่าง Semiconductors, รถ EV หรือ แบตเตอรี่
โดยทั้งหมดนี้ ก็เพื่อที่จะเลื่อนระดับมูลค่าของสินค้าและบริการของไทยภายใต้การขับเคลื่อนด้วนเทคโนโลยีของตัวเองและทักษะคนในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อโครงสร้างการส่งออกของไทย ที่อย่างไรก็ยังขึ้นอยู่กับสินค้าอุตสาหกรรม เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเกษตรแปรรูป เพียงแต่ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อย่างโลจิสติกส์ดิจิทัล โครงข่ายพลังงานหมุนเวียน หรือจะเป็นเครือข่ายสถานีชาร์จรถ EV จะส่งผลทำให้การผลิตสำหรับส่งออกสามารถแข่งขันได้ในต้นทุนที่ลดลง ส่วนในฝั่งของผู้ประกอบการ SME ก็มีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์ เช่น สามารถรีแบรนด์สินค้าเกษตร มาเป็น “High-value Export” ที่รับรองมาตรฐานต่างประเทศ ไปจนถึงสินค้าทางการแพทย์ การบริการทางการแพทย์เชิงพรีเมียม และการเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ที่เป็นเจ้าของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอันมีอำนาจต่อรองในระดับนานาชาติมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจสามารถมีการเติบโตได้ตามแนวทางดังกล่าว เสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่คงทนมากขึ้นนี้ จะเป็นตัวส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพตามมาเอง เช่น การเกิดขึ้นของ MICE ที่เป็นการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น การชี้วัดความสำเร็จของภาคการท่องเที่ยวไทย จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เข้ามาอีกต่อไป แต่หากเป็นในเชิงคุณภาพที่วัดกันด้วยมูลค่าทางเศรษฐกิจเข้ามาแทนที่เสียมากกว่า
ข่าวเด่น