บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2568 โดยมีรายได้รวม 40,123 ล้านบาท และมีรายได้รวมสะสมงวด 9 เดือนแรกอยู่ที่ 123,529 ล้านบาท แม้จะปรับลดลงร้อยละ 4.0 และ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่หลายกลุ่มธุรกิจยังคงแสดงศักยภาพด้านการทำกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ อุปโภคบริโภค และเวชภัณฑ์ ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกับการพัฒนาพอร์ตผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความยั่งยืนในระยะยาวมากยิ่งขึ้น
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 คุณฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จากัด (มหาชน) พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูง ได้จัดการประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meeting) ณ ศูนย์กระจายสินค้า บิ๊กซี บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ควบคู่กับการนาเสนอทิศทางกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัท พร้อมเชิญนักวิเคราะห์ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่นี้ ซึ่งถือเป็นศูนย์ฯ ที่ใหญ่ที่สุดของธุรกิจค้าปลีกในเครือ โดยครอบคลุมพื้นที่กว่า 89,332 ตารางเมตร ออกแบบด้วยแนวคิด Built-to-Suit เพื่อรองรับการบริหารจัดการสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมผสานเทคโนโลยีสีเขียวเพื่อการดำเนินงานที่ยั่งยืน อาทิ ระบบโซลาร์เซลล์ขนาด 998 กิโลวัตต์ ระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ได้กว่า 1,920 ตันต่อปี ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบีเจซีในการขับเคลื่อนสู่ Green Logistics อย่างเป็นรูปธรรม
ในด้านผลประกอบการรายกลุ่มธุรกิจ กลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ยังคงสร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่น โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 23.2% และอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี อยู่ที่ 18.1% เพิ่มขึ้น 120 และ 229 bps ตามลำดับเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากราคาวัตถุดิบหลัก เช่น โซดาแอช เศษแก้ว และก๊าซธรรมชาติ ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการยกระดับประสิทธิภาพผลิต โดยเฉพาะในธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วซึ่งสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงเติบโตอย่างมั่นคง โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 19.5% และอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีอยู่ที่ 7.0% จากการออกสินค้าใหม่ที่มีสัดส่วนหมวดผลิตภัณฑ์อัตรากำไรสูงเพิ่มขึ้น รวมถึงได้การยกระดับประสิทธิภาพผลิต อย่างต่อเนื่อง
สำหรับธุรกิจสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิคมีการเติบโตเหนือความคาดหมาย โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 35.4% และอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีอยู่ที่ 16.0% เพิ่มขึ้น 407 และ 392 bps ตามลำดับ เนื่องมาจากการปรับสัดส่วนสินค้าและบริการภายในกลุ่มให้เหมาะสมยิ่งขึ้น รวมถึงการยุติการดำเนินงานของบริษัท ไทยสแกนดิคสตีล ซึ่งช่วยเพิ่มความมีประสิทธิภาพโดยรวมของกลุ่มธุรกิจ
ด้านธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ มีรายได้จากยอดขายไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 27,297 ล้านบาท ลดลง 4.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัว ฐานยอดขายที่ค่อนข้างสูงในช่วงเดียวกันของปีก่อนจาก digital wallet ในปีก่อน และการปรับปรุงสาขาขนาดใหญ่หลายแห่ง อย่างไรก็ตาม กลุ่มบีเจซี บิ๊กซียังคงเดินหน้าขยายเครือข่ายร้านค้าตามแผนการเติบโตระยะยาว โดยเปิด บิ๊กซี มินิ เพิ่ม 20 สาขา บิ๊กซี ฮ่องกง 4 สาขา และร้านเอเชียบุ๊คส์ 1 สาขา ส่งผลให้มีเครือข่ายร้านค้าในปัจจุบันประกอบด้วย ไฮเปอร์มาร์เก็ต 155 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ต 53 สาขา บิ๊กซี ฮ่องกง 23 สาขา บิ๊กซี มินิ 1,492 สาขา บิ๊กซี ดีโป้ จำนวน 11 สาขา บิ๊กซี ฟู้ดเซอร์วิส 11 สาขา ตลาด Open-Air จำนวน 9 สาขา ร้านขายยาเพรียว 144 สาขา ร้านกาแฟวาวี จำนวน 21 สาขา และร้านหนังสือเอเชียบุ๊คส์ 74 สาขา ขณะที่เครือข่ายร้านค้า “โดนใจ” มีจำนวนมากถึง 19,844 สาขา ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ยังคงยืนยันเป้าหมายในการเติบโตอย่างมั่นคงภายใต้วิสัยทัศน์การเป็น “พันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือ เพื่อร่วมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้สังคมอย่างยั่งยืน” พร้อมมุ่งยกระดับประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพื่อก้าวสู่การเติบโตระยะยาวที่แข็งแกร่งและสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในทิศทางที่ยั่งยืนต่อไป
ข่าวเด่น