เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EIC วิเคราะห์ "แผนการคลังระยะปานกลางใหม่วางกรอบปฏิรูปการคลังเข้ม จะลดความเสี่ยงเครดิตเรตติงได้มากเพียงใด ขึ้นอยู่กับผลปฏิบัติจริง"


เสถียรภาพการคลังของไทยมีทิศทางแย่ลงรวดเร็วหลังวิกฤตโควิด จากเดิมที่เป็นจุดแข็งของประเทศกลายเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก Moody’s และ Fitch ได้ปรับแนวโน้มมุมมองประเทศเป็นลบ (Negative) และอาจนำไปสู่การลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยในอนาคต หากไม่เร่งปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อต้นทุนการกู้ยืมในระบบการเงิน และอาจกระทบต่อความน่าลงทุนของเศรษฐกิจไทยได้ 

 
แผนการคลังระยะปานกลางฉบับใหม่ (ครม. อนุมัติ 18 พ.ย. 2025) สะท้อนความเข้าใจและความตั้งใจในการจัดการต่อสัญญาณเตือนนี้ โดยรัฐบาลพยายามออกแบบแผนปฏิรูปการคลังให้ชัดเจนขึ้น เพื่อปรับสมดุลการคลัง (Fiscal consolidation) ควบคุมไม่ให้หนี้สาธารณะเกินเพดาน 70% ของ GDP และมีแนวโน้มปรับลดลงได้ภายในปี 2030 
 
 
ในแผนฯ นี้รัฐบาลระบุแนวทางปฏิรูปการคลังไว้อย่างโปร่งใสมากขึ้น เช่น 1) เพิ่มรายได้ ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บรายได้และขยายฐานภาษี 2) ลดรายจ่าย โดยหาแหล่งเงินอื่นสำหรับโครงการลงทุนภาครัฐ เช่น ลงทุนร่วมภาครัฐภาคเอกชน (Public-Private Partnership : PPP) และ 3) เพิ่มวินัยการคลัง โดยลดขนาดงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินฯ และเข้มงวดนโยบายกึ่งการคลัง 
 
อย่างไรก็ดี SCB EIC มีความกังวลต่อการนำแผนฯ ไปปฏิบัติจริง หากพิจารณาบนสมมติฐานที่แตกต่าง คือ 1) แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อต่ำกว่าที่ใช้ในแผนฯ และ 2) การปฏิรูปการคลังตามแผนฯ ที่ตั้งเป้าลดขาดดุลงบประมาณเหลือ 2.1% ต่อ GDP ให้ได้ในปี 2030 นั้น มีความท้าทายสูงด้วยข้อจำกัดทางการเมืองและสังคม ความจำเป็นทางเศรษฐกิจ และหลักฐานเชิงประจักษ์ในอดีต ซึ่งทำให้ยังมีโอกาสสูงพอสมควรที่หนี้สาธารณะอาจมีแนวโน้มสูงขึ้นเกินเพดาน 70% ของ GDP ในช่วงข้างหน้า
 
ในทางปฏิบัติ SCB EIC มองว่าการที่รัฐบาลจะสามารถทยอยลดการขาดดุลงบประมาณจากปัจจุบันที่สูงกว่า 4% ให้เหลือ 2.1% ของ GDP ภายในระยะ 5 ปีเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก จึงอาจต้องเตรียมแผนขยับเพดานหนี้ 70% ชั่วคราวไว้ และสื่อสารรักษาคำมั่นจะควบคุมให้หนี้สาธารณะปรับลดลงต่ำกว่าเพดานนี้ให้ได้ภายในกรอบเวลาที่ชัดเจน 
 
SCB EIC ประเมินว่าการที่ภาครัฐพยายามผลักดันแผนปฏิรูปการคลังจะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงเครดิตเรตติงและสร้างเสถียรภาพการคลังระยะยาว แต่จะเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินการให้แผนการคลังฯ เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์การเมืองที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยจากการถอดบทเรียนในต่างประเทศ SCB EIC มองว่า 3 ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้แผนปฏิรูปการคลังสำเร็จได้ คือ 1) มีความมุ่งมั่นทางการเมือง 2) วัดผลความคืบหน้าและสื่อสารโปร่งใส และ 3) ผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ควบคู่กันไป

เสถียรภาพทางการคลังแย่ลงเร็ว เป็นอีกประเด็นสำคัญของไทยหลังวิกฤติโควิด
 
เสถียรภาพการคลังไทยมีทิศทางแย่ลงเร็วหลังเกิดวิกฤตโควิด จากเดิมที่เคยเป็นจุดแข็งของประเทศ รัฐบาลไทยจำเป็นต้องออก พ.ร.ก. กู้เงิน 2 ฉบับในปี 2020 เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชนจากวิกฤติโควิด  วงเงินรวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท รวมถึงเพิ่มขนาดดุลงบประมาณเป็นเกือบ 4% ต่อ GDP ในช่วงนั้น สูงเกินระดับปกติในอดีตที่ต่ำกว่า 3% ต่อ GDP ส่งผลให้รัฐบาลต้องประกาศขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ต่อ GDP เพื่อเพิ่มพื้นที่การคลังรองรับ สัดส่วนหนี้สาธารณะไทยต่อ GDP จึงปรับเพิ่มขึ้นมากจาก 41% ณ สิ้นปี 2019 เป็น 60.5% ณ สิ้นปีงบประมาณ 2022  หลังวิกฤติโควิดสิ้นสุดลง
 
แม้วิกฤตโควิดผ่านไป เสถียรภาพทางการคลังไทยยังไม่กลับไปดีเช่นเดิม ส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้างต่าง ๆ ของประเทศที่ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ต่ำกว่าเดิม การจัดเก็บรายได้ที่ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ และรายจ่ายของรัฐบาลที่สูงขึ้น ส่งผลให้ขนาดการขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณ 2025 และ 2026 ยังสูงกว่า 4% ของ GDP สำหรับหนี้สาธารณะก็มีทิศทางสูงขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ 64.8% ของ GDP ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2025 (รูปที่ 1) อีกทั้ง ยังมีการสร้างหนี้ผูกพันที่ยังไม่ถูกนับรวมในหนี้สาธารณะผ่านการใช้มาตรการกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal) อีกจำนวนมากถึง 1,133,751 ล้านบาท หรือ ราว 6% ของ GDP 
 
ไม่นานนี้นักวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) สื่อสารถึงความสำคัญที่ไทยจะต้องรักษาเสถียรภาพการคลัง สนับสนุนการควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่ให้เกินเพดาน 70% ในระยะปานกลาง อีกทั้ง ยังมีผลการศึกษาสนับสนุนเพิ่มเติมว่า หากหนี้สาธารณะไทยเพิ่มขึ้นจนเข้าสู่ช่วง 77-87% ต่อ GDP (ค่ากลาง 82%)  จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจนขึ้น เนื่องจากจะทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณไปชำระหนี้มากขึ้น กดดันการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ และทำให้ภาครัฐมีพื้นที่การคลังรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจได้น้อยลง
 
ความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังไทยรุนแรงขึ้นในปี 2025 หลังบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือขู่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือไทย โดย 2 ใน 3 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลักของโลก ได้แก่ Moody’s Rating (30 เม.ย. 2025) และ Fitch Rating (29 ก.ย. 2025) ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ของไทยลง จากมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable) เป็นเชิงลบ (Negative) และยังคงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศในภาพรวมไว้ที่ระดับ Baa1 และ BBB+ ตามลำดับ โดยสาเหตุสำคัญที่ทั้งสององค์กรกล่าวถึงคือ เสถียรภาพทางการคลังของไทยปรับแย่ลงมากและศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจที่ต่ำลง
 
อย่างไรก็ดี หลังจากรัฐบาลชุดใหม่มีความตั้งใจจะปฏิรูปการคลังและเริ่มสื่อสารในช่วงเดือน พ.ย. มีประสิทธิภาพมากขึ้น น่าจะมีส่วนช่วยให้ S&P Rating (13 พ.ย. 2025) ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ BBB+ และมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable) แต่ยังคงสื่อสารแสดงความห่วงใยต่อแนวโน้มการคลังไทย โดยระบุว่า การขาดดุลการคลังไทยสูงกว่าอดีต หากเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณการไว้อาจทำให้ฐานะการคลังแย่ลงมาก  สะท้อนว่าไทยยังมีความจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปการคลัง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

รูปที่ 1 : หนี้สาธารณะไทยเพิ่มขึ้นเร็วในช่วงวิกฤติโควิด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 
 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง
 
แผนการคลังระยะปานกลางฉบับใหม่ (ณ พ.ย. 2025) สะท้อนความพยายามปฏิรูปการคลังที่ชัดเจนขึ้น
แผนการคลังระยะปานกลาง (Medium–Term Fiscal Framework : MTFF) เป็นแผนแม่บทหลักสำหรับการวางแผนการเงินการคลังของรัฐ รวมทั้งใช้ประกอบการวางแผนงบประมาณรายจ่ายประจำปีและแผนบริหารหนี้สาธารณะ ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ตาม พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดย MTFF ประกอบด้วยเป้าหมายและนโยบายการคลัง สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ สถานะและประมาณการการคลัง (รวมถึงประมาณการรายได้ รายจ่าย ดุลการคลังและการจัดการดุลการคลัง สถานะหนี้สาธารณะ และภาระผูกพันทางการเงินการคลังของรัฐบาล) 
 
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ MTFF ฉบับใหม่เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2025  ครอบคลุมปีงบประมาณ 2027 – 2030 และให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศมากขึ้นอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม โดยวางแผนลดขาดดุลการคลังจาก 4.4% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2026 ลงเหลือเพียง 2.1% ในปีงบประมาณ 2030 (ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติของไทยช่วงก่อนวิกฤติโควิดที่มักจะขาดดุลงบประมาณไม่ถึง 3% ของ GDP) ผ่านแนวทางปฏิรูปการคลัง 3 ด้านหลัก สรุปได้ดังนี้
 
(1) ปฏิรูปรายได้ ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้และขยายฐานภาษีด้วย Big data การปรับปรุงโครงสร้างภาษี เช่น การทยอยปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 8.5% ในปีงบประมาณ 2028 และ 10% ในปีงบประมาณ 2030 การปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำมัน การปรับปรุงโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาและค่าลดหย่อนภาษีบางประเภท การตรวจสอบสินค้านำเข้าตามพิกัดอัตราภาษีศุลกากร การปรับลดมูลค่าสินค้านำเข้าขั้นต่ำ (De Minimis) รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของรัฐ เช่น เพิ่มอัตรานำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจบางแห่ง การบริหารที่ดินราชพัสดุ 
 
(2) ปฏิรูปรายจ่าย โดยใช้งบประมาณคุ้มค่าอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพสูงสุด หาแหล่งเงินทุนทางเลือก เช่น การร่วมทุนภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) และการบริหารหนี้เชิงรุกเพื่อลดภาระดอกเบี้ย
 
(3) เพิ่มวินัยการเงินการคลัง โดยลดสัดส่วนรายจ่ายงบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นลง (จากเดิม 2–3.5% เหลือ 2–3% ของงบประมาณรายจ่าย) เพิ่มสัดส่วนงบชำระคืนต้นเงินกู้ (จากเดิม 3.5 – 5% เป็นไม่น้อยกว่า 4% ของงบประมาณรายจ่าย) ลดสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือจากกฎหมายงบประมาณ (จากเดิมไม่เกิน 8% เป็น 5% ของงบประมาณรายจ่าย) นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเข้มงวดในการอนุมัตินโยบายกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal) ตาม ม. 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยให้หน่วยงานของรัฐหลีกเลี่ยงโครงการอุดหนุนแบบให้เปล่าที่ไม่ก่อให้เกิดการปรับตัวเพื่อยกระดับผลิตภาพของภาคเกษตร หน่วยงานของรัฐจะต้องส่งรายละเอียดของโครงการให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้ความเห็นเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ

ความท้าทายในการปฏิบัติจริงตามแผนการคลังฯ ฉบับใหม่ 

MTFF ฉบับใหม่มีข้อสมมติฐานการลดการขาดดุลงบประมาณ (Fiscal consolidation) ลงมาก เพื่อคุมไม่ให้หนี้สาธารณะเกินเพดาน 70% และมีแนวโน้มลดลงได้ในระยะข้างหน้า โดยกำหนดให้รัฐบาลสามารถทยอยลดการขาดดุลงบประมาณจาก 4.4% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2026 เหลือ 2.1% ในปีงบประมาณ 2030 ซึ่งจะช่วยให้แนวโน้มหนี้สาธารณะแตะจุดสูงสุดที่ 69.8% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2028 ก่อนจะปรับลดลงมาเหลือ 68.2% ในปีงบประมาณ 2030 
 
อย่างไรก็ดี SCB EIC ประเมินว่ารัฐบาลจะต้องเผชิญความท้าทายในการปฏิบัติจริงตามแผน MTFF ใหม่นี้ บนสมมติฐานเศรษฐกิจที่แตกต่าง และสมมติฐานการลดการขาดดุลงบประมาณได้ไม่มากเท่าและไม่เร็วเท่า ด้วยข้อจำกัดจากบริบททางการเมืองและสังคม รวมถึงหลักฐานเชิงประจักษ์จากการดำเนินการตามแผนการคลังฯ ในอดีต รายละเอียดดังนี้
 
(1) สมมติฐานทางเศรษฐกิจ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อนับว่าเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดทำ MTFF เนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจจะส่งผลโดยตรงต่อประมาณการรายได้ของรัฐบาล เช่น รายได้ภาษี รายได้รัฐวิสาหกิจ อีกทั้งการพิจารณาภาระหนี้ของแต่ละประเทศมักเปรียบเทียบกับขนาดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ณ ราคาปัจจุบัน (Nominal GDP หรือ GDP ที่ไม่หักผลของเงินเฟ้อ) ซึ่งเป็นการสะท้อนภาระหนี้ต่อความสามารถในการชำระหนี้ในระดับประเทศสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP (%) = ระดับหนี้สาธารณะ/(ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ณ ระดับราคาปัจจุบัน) * 100
 
MTFF ฉบับใหม่มีข้อสมมติฐานเศรษฐกิจไทย (Real GDP) จะขยายตัว 1.7% ในปี 2026 และขยายตัวสูงขึ้นในระยะปานกลางเฉลี่ย 2.8% ในช่วงปี 2027 – 2030 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.5% ในปี 2026 และจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะปานกลางเฉลี่ย 1.2% ในช่วงปี 2027 – 2030 สูงกว่าประมาณการ SCB EIC (รูปที่ 3) ส่งผลให้ Nominal GDP ตาม MTFF ฉบับใหม่ค่อนข้างสูงเฉลี่ย 4% ในช่วงปี 2027 - 2030 เทียบกับประมาณการ SCB EIC เฉลี่ยที่ 3.2% เท่านั้น (รูปที่ 2)
 
รูปที่ 2 : เปรียบเทียบสมมติฐานทางเศรษฐกิจตาม MTFF และ SCB EIC 
 
 
 
(2) ข้อจำกัดลดการขาดดุลงบประมาณ MTFF ฉบับใหม่มีเป้าหมายลดการขาดดุลงบประมาณลงมากจาก 4.4% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2026 เหลือเพียง 2.1% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2030 (เทียบกับ MTFF ฉบับก่อนหน้า กำหนดข้อสมมติลดการขาดดุลงบประมาณจาก 4.5% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2025 เหลือ 3.1% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2029 เข้าใกล้เกณฑ์ขาดดุลปกติไม่เกิน 3% ของ GDP ในช่วงก่อนวิกฤติโควิด) (รูปที่ 3)
 
สำหรับรายได้รัฐบาลและงบประมาณรายจ่ายตาม MTFF ใหม่นี้ รัฐบาลตั้งเป้าจะควบคุมไม่ให้งบประมาณรายจ่ายโตเกิน 1% ต่อปีตลอดระยะปานกลาง เทียบกับข้อมูลจริงที่เคยขยายตัวเฉลี่ยสูงถึง 3.5% ในช่วงปีก่อนวิกฤติโควิด และ 4.2% ในปีงบประมาณ 2025 ขณะที่แผนฯ นี้กำหนดให้รายได้รัฐบาลสุทธิขยายตัวเกินปีละ 4% ในช่วงปีงบประมาณ 2028-2030 เทียบกับข้อมูลจริงที่เคยขยายตัวเฉลี่ยเพียง 2.3% ในช่วงปีก่อนวิกฤติโควิด และ 3.2% ในปีงบประมาณ 2025 (รูปที่ 4) 
 
SCB EIC ประเมินว่าเป้าหมายลดขนาดการขาดดุลเหลือเพียง 2.1% ของ GDP ภายใน 5 ปีข้างหน้าตามแผนฯ นี้ท้าทายค่อนข้างมาก เนื่องจากกว่า 66% ของงบประมาณทั้งหมดเป็นรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอน  โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่การเมืองไทยเผชิญความไม่แน่นอนสูง และรัฐบาลชุดถัดไปสามารถปรับกรอบงบประมาณในปีถัด ๆ ไปเพื่อดำเนินนโยบายของพรรคได้อยู่ดี เนื่องจาก MTFF ไม่มีผลบังคับผูกพันหรือเป็นกฎหมายที่จะถูกบังคับใช้ อีกทั้ง การปฏิรูปรายได้เพื่อเพิ่มการจัดเก็บภาษีและลดขนาดการเติบโตของงบประมาณรายจ่ายลดอย่างรวดเร็ว อาจซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำอยู่เดิม ทั้งนี้หากพิจารณาในช่วงหลังวิกฤติจะพบว่าไทยไม่สามารถปรับลดการขาดดุลงบประมาณให้ต่ำกว่า 3% ของ GDP ได้เลยเช่นเดียวกัน
 
รูปที่ 3 : สมมติฐานการคลังตามแผนการคลังฯ ฉบับใหม่ (พ.ย. 2025) 
 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง
 
(3) ตัวเลขการขาดดุลและหนี้สาธารณะจริงมักออกมาสูงกว่าประมาณการ MTFF แม้ MTFF ฉบับใหม่จะเน้นให้มีการควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่ให้ชนเพดานหนี้สาธารณะ 70% หากพิจารณา MTFF ในอดีต พบว่าส่วนใหญ่ตัวเลขหนี้สาธารณะที่ประกาศออกมามักสูงกว่าประมาณการใน MTFF ส่งผลให้รัฐบาลต้องปรับประมาณการหนี้สาธารณะใน MTFF ฉบับถัดไป (รูปที่ 4)  ซึ่งเป็นผลจากตัวเลขเศรษฐกิจจริงที่ออกมาต่ำกว่าประมาณการใน MTFF หรือขาดดุลงบประมาณจริงสูงกว่าที่วางแผนไว้ใน MTFF

รูปที่ 4 : เปรียบเทียบประมาณการหนี้สาธารณะจากแผนการคลังฯ ในอดีต
 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง 

ในทางปฏิบัติ SCB EIC ประเมินว่ารัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลในอนาคตจะสามารถปฏิรูปการคลังตาม 3 แนวทางหลักข้างต้นได้ระดับหนึ่ง เนื่องจาก MTFF ฉบับใหม่ได้ออกแบบแนวทางปฏิรูปการคลังที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากกว่าฉบับก่อน ๆ โดยมีการลงรายละเอียดโครงการที่จะดำเนินการ รวมถึงประมาณการผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไว้บ้างแล้ว ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินการปฏิรูปการคลังบนสมมติฐานที่เป็นไปได้ คือ 1) ข้อสมมติฐานเศรษฐกิจในระยะปานกลางที่เติบโตต่ำกว่า และ 2) ข้อสมมติฐานรัฐบาลจะทยอยลดการขาดดุลงบประมาณลงได้ไม่มากจากปัจจุบันที่สูงกว่า 4% เหลือ 3% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2030 จากความพยายามผลักดันและการสื่อสารที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นของรัฐบาลเอง รวมถึงมีแรงกดดันจากองค์กรจัดอันดับความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี SCB EIC ประเมินว่าการลดขนาดการขาดดุลงบประมาณลงได้ถึงเป้าหมาย 2.1% ของ GDP ตาม MTFF ฉบับใหม่นั้นมีความท้าทายสูง
 
ดังนั้น แนวโน้มหนี้สาธารณะบนสมมติฐานปฏิรูปการคลังที่น่าจะเป็นไปได้ของ SCB EIC อาจเห็นหนี้สาธารณะไทยมีแนวโน้มทะลุเพดาน 70% ของ GDP ในปี 2027  (รูปที่ 5) เนื่องจากหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2025 สูงถึง 64.8% อยู่ก่อนแล้ว อีกทั้ง รัฐบาลยังได้อนุมัติงบประมาณในปีงบประมาณ 2026 ขาดดุลสูงขึ้นต่อเนื่องเป็น 4.5% ของ GDP ไว้แล้ว ซึ่งสูงกว่าแนวโน้มการขยายตัวของ Nominal GDP เป็นอย่างมาก ก่อนจะทยอยปรับลดลงมาได้ 
 
แม้ภาพการปรับลดของแนวโน้มหนี้สาธารณะในกรณีฐานของ SCB EIC อาจต่างจาก MTFF ฉบับใหม่อยู่บ้าง แต่ได้สะท้อนการปฏิรูปการคลังของไทยที่เข้มงวดขึ้นแล้ว หากเทียบกรณีแย่ (ไม่มีการปฏิรูปการคลัง) แนวโน้มหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและไม่สามารถปรับลดลงได้ (รูปที่ 5) ในระยะข้างหน้ารัฐบาลจึงอาจต้องเตรียมแผนขยับเพดานหนี้ 70% ชั่วคราวเผื่อไว้ หากสมมติฐานเศรษฐกิจและการปฏิรูปการคลังไม่สามารถทำได้เต็มที่ตามแผนฯ ครั้งนี้ รวมถึงมีแผนสื่อสารรักษาคำมั่นว่าจะควบคุมให้หนี้สาธารณะปรับลดลงต่ำกว่าเพดานนี้ให้ได้ภายในกรอบเวลาที่ชัดเจน 

รูปที่ 5 : คาดการณ์แนวโน้มหนี้สาธารณะของไทย โดย SCB EIC 
 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง

การปฏิรูปการคลังให้เป็นรูปธรรมบนความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง จะช่วยสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยในระยะยาวและลดความเสี่ยงเครดิตเรตติงประเทศ
 
การปฏิรูปการคลังเป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะยาว ช่วยให้ภาครัฐมีฐานะทางการคลังที่เข้มแข็งมากขึ้น สามารถจัดเก็บรายได้ที่เพียงพอมากขึ้น ผ่านการขยายฐานภาษี ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อให้มีทรัพยากรการคลังรองรับความท้าทายเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยในด้านต่าง ๆ รวมถึงจะช่วยให้ประเทศหลีกเลี่ยงจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในระยะข้างหน้าได้
 
แผนปฏิรูปการคลังระยะปานกลางจะประสบความสำเร็จได้จะต้องทำควบคู่กับการปฏิรูปเศรษฐกิจในภาคส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ  ที่เริ่มตื่นตัวและดำเนินการให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นแล้วในรัฐบาลชุดนี้ เช่น (1) การเร่งกระบวนการออกใบอนุญาตสิทธิประโยชน์การลงทุนของ BOI ที่ได้รับการอนุมัติจาก ครม. แล้ว (2) การปรับลดกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคภาคเอกชนภายใต้อำนาจของกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงเกษตรฯ อาทิ ทบทวนกฎหมาย ทบทวนภาษีนำเข้าวัตถุดิบ พัฒนาพิธีการศุลกากร ระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ระบบป้องกันการสวมสิทธิสินค้า รวมถึง (3) ความพยายามผลักดันชุดนโยบาย Quick Big Win ซึ่งสะท้อนสูตรผสมของนโยบายกระตุ้นสั้น (ตามอายุของรัฐบาล) หวังผลในระยะยาว และประโยชน์กระจายตัวมากขึ้น 
 
สำหรับการปฏิรูปการคลังตาม MTFF ใหม่ให้เห็นผลได้จริงนั้น SCB EIC มองว่ามี 3 ปัจจัยหลัก ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการปฏิรูปการคลังในต่างประเทศ ประกอบด้วย  
 
(1) มีความมุ่งมั่นทางการเมือง (Political commitment) โดยทุกรัฐบาลต่อจากนี้จะต้องมีฉันทามติทางการเมืองว่า การปฏิรูปการคลังของไทยเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้น และควรเร่งดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงและจะสร้างเสถียรภาพการคลังระยะยาว ตัวอย่างในชิลีและสวีเดนได้วางกลไกสร้างกรอบวินัยการคลังระยะยาวแม้เปลี่ยนรัฐบาล ผ่านกรอบหรือกฎหมายความรับผิดชอบทางการคลัง (Fiscal Responsibility Law)  
 
(2) วัดผลความคืบหน้าและสื่อสารโปร่งใส เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของสาธารณชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่า การปฏิรูปการคลังจะช่วยสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศและจะลดความเสี่ยงถูกปรับลดอันดับเครดิตเรตติงได้ในอนาคต โดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในผลลัพธ์ระยะยาวของประเทศ ตัวอย่างเช่นนิวซีแลนด์เผยแพร่เอกสารการคลังแบบเข้าใจเข้าถึงง่าย และใช้ตัวชี้วัด Wellbeing Budget สะท้อนผลลัพธ์ด้านคุณภาพชีวิตควบคู่ข้อมูลการคลัง เพื่อให้ประชาชนเห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม หรือแคนาดามีการจัดทำแผน National Action Plan on Open Government ร่วมกับภาคประชาสังคม แสดง Commitment-Milestones-Indicators ติดตามผลและเผยแพร่สาธารณะ 
 
(3) ผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ควบคู่กันไป ซึ่งจะช่วยเสริมให้แนวการปฏิรูปการคลังอยู่บนฐานรายได้ของธุรกิจและประชาชนที่มั่นคงมากขึ้น ช่วยลดแรงต้านทางการเมือง และช่วยเพิ่มการเติบโตที่ยั่งยืนของประเทศได้ เช่น เกาหลีใต้ (หลังวิกฤตปี 1997 ปฏิรูปการคลังควบคู่กับการปฏิรูปภาคการเงินจัดการหนี้เสีย การปฏิรูปตลาดแรงงานเพิ่มความยืดหยุ่นและระบบสวัสดิการ และการปฏิรูปภาคธุรกิจและธรรมาภิบาลบริษัท เช่น ลดอิทธิพลกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ Chaebol ส่งเสริมการแข่งขัน เปิดเผยข้อมูล)
 
SCB EIC สนับสนุนความตั้งใจในการฟื้นฟูเสถียรภาพการคลังในระยะปานกลาง และความพยายามสื่อสารถึงแนวทางการปฏิรูปการคลังเข้มงวดที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมขึ้นกว่าในอดีต ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาวและลดความเสี่ยงการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศลงได้ ทั้งนี้ความสำเร็จของการปฏิรูปการคลังจะขึ้นอยู่กับการปฏิบัติให้เห็นผลได้จริง (Make it credible) ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและความต่อเนื่องของนโยบายปฏิรูปจากความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยที่ค่อนข้างสูง 

บทวิเคราะห์โดย... https://www.scbeic.com/th/detail/product/MTFF-111225

ผู้เขียนบทวิเคราะห์
 
 
วิชาญ กุลาตี (vishal.gulati@scb.co.th) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส
 
 
ดร.ฐิติมา ชูเชิด (thitima.chucherd@scb.co.th) ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 22 ธ.ค. 2568 เวลา : 18:06:07
22-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 27 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำบางเขน 2

2. ตลาดหุ้นปิด (22 ธ.ค.68) บวก 17.49 จุด ดัชนี 1,269.68 จุด

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (22 ธ.ค.68) บวก 12.44 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,264.63 จุด

4. MTS Gold คาดราคาทองคำตลาดโลกกำลังเคลื่อนไหวทดสอบระดับสูงสุดเดิม (All Time High) แนวรับที่ 4,340-4,320 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,400-4,420 เหรียญ

5. ทองเปิดตลาดวันนี้ (22 ธ.ค. 68) พุ่งขึ้น 450 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 65,750 บาท

6. พยากรณ์อากาศวันนี้ (22 ธ.ค.68) "ยอดดอย" หนาวถึงหนาวจัด มีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิ 2 องศา "ยอดภู" 10 องศา

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (22 ธ.ค.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 31.40 บาทต่อดอลลาร์

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (22 ธ.ค.68) บวก 9.85 จุด ดัชนี 1,262.04 จุด

9. ตลาดหุ้นปิด (19 ธ.ค.68) บวก 2.12 จุด ดัชนี 1,252.19 จุด

10. ประกาศ กปน.: 24 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนพระรามที่ 2

11. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (19 ธ.ค.68) บวก 3.58 จุด ดัชนี 1,253.65 จุด

12. MTS Gold คาดราคาทองคำยังคงอยู่ในทิศทาง Sideway Up ในระยะนี้ ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,315-4,290 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,350-4,375 เหรียญ

13. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (18 ธ.ค.68) ลบ 9.40 ดอลลาร์ นักลงทุนลดการถือทองคำ หลัง CPI ชะลอตัว

14. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (18 ธ.ค.68) บวก 65.88 จุด เงินเฟ้อต่ำ หนุนเฟดลดดอกเบี้ยมี.ค.ปีหน้า

15. พยากรณ์อากาศวันนี้ (19 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบนอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า อุณหภูมิลดลง 1-2 องศา,ภาคใต้ ฝน 30-40%

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 22, 2025, 11:23 pm