เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EIC วิเคราะห์ The drive to decide : ไขข้อสงสัย...จะซื้อรถใหม่ คันไหนยิ่งขับ ยิ่งคุ้ม?


 
พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อรถของคนไทยเปลี่ยนไป โดยมีความสลับซับซ้อน ใช้เวลาตัดสินใจนาน และต้องการข้อมูลที่รอบด้านมากยิ่งขึ้น 
 
พฤติกรรมการซื้อรถของคนไทยมีพัฒนาการที่แตกต่างไปจากอดีตใน 3 ประเด็น คือ 1) อายุการใช้งานรถยนต์ยาวนานขึ้นเป็น 10 ปี จากเดิมที่มักเปลี่ยนรถกันทุก ๆ 7 ปี 2) ข้อมูลค่าใช้จ่ายจากการใช้งานรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดพลังงาน ค่าซ่อม ค่าเสื่อม และเบี้ยประกัน มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อใกล้เคียงกับการลดราคาขาย และ 3) รถยนต์ไฟฟ้าทั้ง BEV และ Hybrid กลายเป็นตัวเลือกหลักของตลาดรถยนต์นั่งนับตั้งปี 2023 เป็นต้นมา และคาดว่าจะครองส่วนแบ่งยอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 

สงครามราคาในตลาดรถยนต์ไทยจะยังทวีความรุนแรง แต่ประสิทธิผลของกลยุทธ์ดังกล่าวมีแนวโน้มลดลง เพราะผู้บริโภคเกิดความเคยชินและหันมา Wait & See กันมากขึ้น
 
SCB EIC ประเมินว่า การปรับลดราคาขายรถยนต์จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและขยายวงกว้าง โดย Segment ที่คาดว่าจะมีความรุนแรงสูงสุด คือ 1) รถเก๋งขนาดเล็ก หรือ Eco car 2) รถยนต์ไฟฟ้านำเข้าจากประเทศจีนที่เปิดตัวไปแล้วในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา และ 3) กลุ่มรถยนต์ราคาระหว่าง 5 แสน 1 ล้านบาท จะมีตัวเลือกในตลาดเพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากการจัดโปรโมชันที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจะทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อรถใหม่ออกไป เพื่อรอให้ราคาปรับลดลงอีกในอนาคต

มูลค่าคงเหลือของรถยนต์ไฟฟ้า ทั้ง BEV และ Hybrid มีแนวโน้มลดลงมากถึงเกือบ 50% จากราคาขาย เมื่อใช้งานไปเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น 
 
มูลค่าซากของรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อใช้งานไปเพียง 1 ปี จะเสื่อมค่าลงมากถึง 50% ขณะที่รถสันดาปสามารถรักษามูลค่าในปีแรกไว้ได้ถึง 67% ของราคารถใหม่ โดยปัจจัยที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเสื่อมค่าลงมากนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาขายที่ถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความกังวลของภาคธุรกิจต่ออุปสงค์ของ EV ในตลาดรถยนต์มือ 2

ค่าใช้จ่ายผันแปรจากการใช้งานรถ BEV ต่ำกว่ารถสันดาป และ Hybrid ค่อนข้างมาก แต่ต้องจับตาต้นทุนแฝงจากปัญหาความไม่เพียงพอของสถานีชาร์จสาธารณะ 
 
การใช้งานรถ BEV ก่อให้เกิดรายจ่ายจากการชาร์จไฟฟ้าเพียง 62 บาท/วัน ต่ำกว่าต้นทุนค่าเชื้อเพลิงของรถสันดาปกว่าเท่าตัว เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายการเช็กระยะซึ่งก็ถูกกว่ารถประเภทอื่น ๆ ถึง 3 เท่า อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาต้นทุนแฝงอื่น ๆ เช่น ค่าเสียโอกาสจากการรอชาร์จไฟเนื่องจากสถานีชาร์จสาธารณะมีไม่เพียงพอ รวมถึงค่าเดินทางและระยะเวลาซ่อมที่ยาวนาน เพราะอุปทานอะไหล่ยนต์ในประเทศมีจำกัด รวมถึงศูนย์ซ่อมบำรุงและอู่ซ่อมรายย่อยก็มีน้อยและกระจายตัวไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ 

เบี้ยประกันรถ BEV แพงกว่ารถสันดาป และ Hybrid กว่าเท่าตัว เนื่องจากราคาขายที่ถูกปรับลดลงต่อเนื่อง รวมถึงระบบนิเวศน์ EV ในประเทศไทยยังพัฒนาได้ไม่เท่าทันกับความต้องการของตลาด 
ปัจจัยสำคัญที่กดดันให้เบี้ยประกันรถ BEV ผันผวนและยังอยู่ในระดับสูง คือ การคำนวณทุนประกันทำได้ยาก เพราะ 1) เหล่าผู้ผลิตมีการปรับลดราคาขายลงอย่างต่อเนื่อง 2) ราคาอะไหล่ต่อชิ้นค่อนข้างแพง 3) อู่ซ่อมรายย่อยมีน้อย และ 4) บริษัทรับทำประกันภัย EV ก็มีจำกัด ด้วยเหตุนี้ SCB EIC ประเมินว่า เบี้ยประกันรถ EV จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง แม้จะทยอยปรับลดลงบ้างตามทิศทางการพัฒนาระบบนิเวศน์ EV ของไทยที่กำลังมีความพร้อมยิ่งขึ้น ทั้งจากการลงทุนขยายอุปทานอะไหล่ยนต์ในประเทศ รวมถึงการเร่งพัฒนาธุรกิจอู่ซ่อมและฝีมือแรงงานให้ตอบโจทย์ 

SCB EIC มองว่า รถ BEV เป็นตัวเลือกการขับขี่ที่ตอบโจทย์ความประหยัดในระยะยาวได้ดีที่สุด แม้ว่าการใช้งานช่วง 2 – 3 ปีแรกจะมีต้นทุนการถือครองที่สูงกว่ารถประเภทอื่น ๆ เนื่องจากภาระเบี้ยประกันและค่าเสื่อมที่อยู่ในระดับสูง
 
การเปรียบเทียบความคุ้มค่าของการถือครองรถยนต์นั่งตลอดอายุการใช้งาน 10 ปี ชี้ว่า ภาระรายจ่ายของรถสันดาปนั้นสูงที่สุด ขณะที่รถไฮบริดจะมีต้นทุนการใช้งานต่ำมากในระยะสั้น จากนั้นจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นตามภาระค่าเชื้อเพลิง สำหรับรถ BEV ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะค่าใช้จ่ายการชาร์จไฟฟ้าและค่าซ่อมบำรุงที่อยู่ในระดับต่ำสามารถชดเชยภาระเบี้ยประกันที่โดยรวมยังแพงกว่ารถยนต์ประเภทอื่น ๆ 
 
เกาะกระแสเทรนด์ขับขี่และพฤติกรรมการซื้อรถของคนไทย
พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อรถของคนไทยมีแนวโน้มสลับซับซ้อน ใช้เวลาตัดสินใจนาน และต้องการข้อมูลที่รอบด้านมากยิ่งขึ้น เนื่องจากตัวเลือกในตลาดรถยนต์นั่งทวีความหลากหลาย ทั้งในแง่ประเภทเครื่องยนต์ ระดับราคา และการเข้ามาของแบรนด์ใหม่ ๆ ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นตัวแปรสำคัญที่กระตุ้นให้ตลาดรถยนต์ไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง โดยในด้านอุปทาน เราเริ่มเห็นค่ายรถยนต์หน้าใหม่ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศ โดยเฉพาะเหล่าผู้ผลิตสัญชาติจีน จนทำให้ปัจจุบันมีจำนวนผู้เล่นในตลาดมากถึง 159 แบรนด์ จาก 74 แบรนด์ ณ ปี 2019  ด้วยเหตุนี้ ตัวเลือกการขับขี่จึงมีความหลากหลายเพิ่มขึ้นตามกันไป โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (ม.ค. 2022 - มิ.ย. 2024) มีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในไทยมากถึงเกือบ 100 โมเดล อีกทั้ง รถยนต์นั่งประเภทอื่นก็มีรุ่นใหม่ ๆ วางจำหน่ายมากขึ้นเป็นเท่าตัว  
 
สำหรับด้านอุปสงค์นั้น เราพบว่ากระแสนิยมของผู้บริโภคในตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน สะท้อนจากยอดขายรถ SUV ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือกอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์นั่งของไทย โดยแรงส่งสำคัญมาจากกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ซึ่งมีส่วนทำให้สัดส่วนยอดขายรถประเภทนี้เพิ่มขึ้นจาก 5% ณ ปี 2014 มาอยู่ที่ 18% ณ ปี 2023 ขณะที่รถยนต์นั่งขนาดเล็กในกลุ่ม Eco car และ B-segment กลับได้รับความนิยมลดลง (รูปที่ 1) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการต้องแย่งชิงฐานลูกค้ากับกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าที่มีระดับราคาใกล้เคียงกัน อาทิ การแข่งขันระหว่าง NETA V และ Eco car ในกลุ่มราคา 4 – 5.5 แสนบาท หรือ BYD Dolphin และรถ B-segment ในกลุ่มราคา 6 – 8 แสนบาท
 
 
อนึ่ง SCB EIC พบว่า นอกจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดรถยนต์แล้ว พฤติกรรมการซื้อรถของคนไทยก็มีพัฒนาการที่ต่างไปจากเดิมใน 3 ด้านที่สำคัญ คือ 
 
1) รอบการเปลี่ยนรถของคนไทยนานขึ้น ทำให้การตัดสินใจซื้อรถใหม่มักมองหาความคุ้มค่าในระยะยาว 
คนไทยมีแนวโน้มซื้อรถใหม่ช้าลง สะท้อนได้จากอายุการใช้งานรถยนต์นั่งเฉลี่ย ณ ปัจจุบัน อยู่ที่เกือบ 10 ปี เพิ่มขึ้นจาก 7 ปี ณ ปี 2013  ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวส่งผลให้ 1) วัฏจักรยอดขายรถยนต์มีแนวโน้มหนืดขึ้น 
 
2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อรถใหม่เปลี่ยนแปลงไป โดยผู้บริโภคหันมามองหาตัวเลือกการขับขี่ที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว อาทิ ต้นทุนด้านพลังงาน ราคาขายต่อ เบี้ยประกัน รวมถึงค่าซ่อมบำรุง และ 3) ธุรกิจอู่ซ่อมและอะไหล่ยนต์จะได้รับอานิสงส์โดยตรง แต่ก็จำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับเทรนด์การขับขี่ใหม่ ๆ อาทิ ความพร้อมด้านอุปกรณ์ ชิ้นส่วน ฝีมือและทักษะช่างสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 2) ข้อมูลค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานรถยนต์ กลายมาเป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อใกล้เคียงกับแรงจูงใจด้านราคาขาย
 
ผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey ชี้ว่า แผนการซื้อพาหนะส่วนตัวนับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา 
เริ่มให้ความสำคัญกับข้อมูลการประหยัดพลังงานในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับการจัดโปรโมชันด้านราคา 
โดยผู้บริโภคบางส่วนเล็งเห็นว่า กลยุทธ์การลดราคาสามารถสร้างแรงดึงดูดอันฉาบฉวยในระยะสั้น ขณะที่ข้อมูลค่าใช้จ่ายด้านพลังงานตอบโจทย์ความคุ้มค่าในระยะยาวได้ดีกว่า ทั้งนี้พฤติกรรมดังกล่าวแตกต่างกับเทรนด์ในอดีต เพราะปัจจัยที่เคยมีอิทธิพลสูงสุด คือ ราคาขายและการจัดโปรโมชัน รองลงมา คือ การเปรียบเทียบสมรรถนะและเทคโนโลยีการขับขี่ 
 
3) ส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า ทั้ง BEV และ Hybrid แซงหน้ารถสันดาปแล้วในตลาดรถยนต์นั่ง 
รถยนต์ไฟฟ้า ทั้ง BEV และ Hybrid กลายเป็นตัวเลือกการขับขี่หลักของคนไทยในกลุ่มรถยนต์นั่งนับตั้งแต่ปี 2023 สะท้อนจากส่วนแบ่งยอดขายรวมกันนั้นสูงถึง 60% โดยกลุ่มรถ Hybrid ได้รับความนิยมต่อเนื่องและขยายตัวเฉลี่ยปีละ 38% (นับตั้งแต่ปี 2019) ขณะที่ตลาดรถ BEV ถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่าน  โดยยอดขายสะสมตั้งแต่ปี 2018 - มิ.ย. 2024 อยู่ที่ราว 1.25 แสนคัน ซึ่งการเปิดรับนี้มาจากความตื่นตัวของผู้บริโภคที่คิดเป็นเพียง 15% ของ Potential customer  ดังนั้น การเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจึงยังมีแนวโน้มสดใสสวนทางกับสภาวะยอดขายรถยนต์ในภาพรวม  โดยเฉพาะในปี 2024 ที่คาดว่า EV Market share จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 74% ของกลุ่มรถยนต์นั่งหรือราว 30% ของตลาดรถยนต์ในประเทศทั้งหมด (รูปที่ 2) 
 

 
 
ในสภาวะที่พฤติกรรมการเลือกซื้อรถของผู้บริโภคมีความพิถีพิถันและต้องการข้อมูลที่ละเอียดยิ่งขึ้น SCB EIC จึงได้วิเคราะห์แนวโน้มและเปรียบเทียบต้นทุนการถือครองยานยนต์ประเภทต่าง ๆ เพื่อไขข้อข้องใจให้แก่ผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย 4 ประเด็นคำถามสำคัญ ดังนี้  
 
ไขคำตอบที่ 1 : ทิศทางราคารถใหม่ “อยู่ตัวแล้ว” หรือ “จะถูกลงอีก”
 
ในช่วงที่ผ่านมา การแข่งขันด้านราคา (Price war) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นยอดขายรถยนต์ ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันอันดุเดือดและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า แต่เมื่อกลยุทธ์ดังกล่าวถูกเลือกใช้บ่อยจนพร่ำเพรื่อเกินไป ประสิทธิผลที่ได้กลับมีแนวโน้มแผ่วลง สอดคล้องกับข้อมูลดัชนี Google trend ในรูปที่ 3 ซึ่งบ่งชี้ว่า การประกาศปรับลดราคาครั้งแรกจะสร้างความตื่นตัวให้กับผู้บริโภคได้มากที่สุด อาทิ SUZUKI CIAZ กลับมาสร้างความหวือหวาได้อีกครั้งในรอบเกือบ 10 ปี จากการประกาศลดราคาสูงสุดถึง 1.5 แสนบาท เช่นเดียวกับ ค่าย GAC AION ที่ประสบความสำเร็จในการปรับลดราคาขายครั้งที่ 1 ณ ไตรมาส 4/2023 เพราะสามารถทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในตลาดได้ดีกว่าช่วงการเปิดตัวเสียอีก อย่างไรก็ตาม ผลสัมฤทธิ์จากการจัดโปรโมชันครั้งต่อ ๆ มา ทยอยปรับลดลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภครู้สึกเคยชินกับกลยุทธ์ดังกล่าว และชะลอการตัดสินใจออกไปก่อน เพื่อรอราคาที่อาจปรับลดลงได้อีกในอนาคต (Wait & See strategy) นอกจากนี้ ราคาขายที่มีความผันผวนสูงยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ สถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย และเต็นท์รถมือ 2 ที่กำลังเผชิญกับความยากลำบากในการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ ค่าเสื่อม และทุนประกันภัยรถยนต์ 
 
รูปที่ 3 :  การลดราคาขายดึงดูดความสนใจผู้บริโภคได้น้อยลง หากค่ายรถหันมาใช้กลยุทธ์นี้บ่อยครั้ง
 
 
อย่างไรก็ดี หากมองไปข้างหน้า กลยุทธ์การแข่งขันด้วยการปรับลดราคาขายจะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มขยายวงกว้าง โดยคาดว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในรถยนต์ 3 ประเภท ดังนี้ 
 
1) รถเก๋งสันดาปขนาดเล็ก เช่น Eco car และ B-segment เนื่องจากต้องเผชิญกับความท้าทายจากกระแสนิยมที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์บางค่ายจำเป็นต้องหันมาแข่งขันด้วยราคาเพื่อหวังกระตุ้นยอดขายให้ปรับตัวดีขึ้น อาทิ การประกาศลดราคาของ SUZUKI CIAZ และ CELERIO จนทำให้ราคาขายเริ่มต้นต่ำกว่า 4 แสนบาท ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่า รถเก๋งสันดาปขนาดเล็กจะมีราคาลดลงได้อีกราว 10% - 15% จากค่าเฉลี่ยในปี 2018 - 23  ซึ่ง ณ ระดับราคานี้ จะช่วยให้รถประเภทดังกล่าวสามารถขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มที่มีรายได้ น้อย-ปานกลางได้ อีกทั้ง ยังสามารถแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้าได้ดีขึ้นเช่นกัน
 
2) รถยนต์ไฟฟ้านำเข้าจากประเทศจีน มีแนวโน้มทะลักเข้ามาในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะรถ BEV รุ่นที่มีการเปิดตัวไปแล้วในช่วง 1 – 2 ปีนี้ คาดว่าราคาขายจะปรับลดลงได้อีก เนื่องจากผู้ผลิต 1) ต้องการระบายสินค้าคงค้างในประเทศจีนเนื่องจากสต็อกรถยนต์ BEV สะสมมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นเป็น 16 ล้านคัน ณ ปี 2023 หรือขยายตัว 45.5% จากปีก่อนหน้า  2) การกระตุ้นยอดขายในตลาดไทยที่เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวนับตั้งแต่ต้นปี 2024  และ 3) ต้นทุนแบตเตอรี่ EV ที่ทยอยลดลงต่อเนื่อง ทั้งนี้การเข้ามาตีตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเปรียบเสมือนดาบสองคมที่แม้จะส่งผลดีต่อผู้บริโภค แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในระยะยาว เพราะเกือบทุกองคาพยพของกิจกรรมการผลิตยังไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศและพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก โดยเฉพาะการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ยานยนต์ และแบตเตอรี่ EV ดังนั้น อานิสงส์ต่อผู้ประกอบการในประเทศและเศรษฐกิจไทยจึงมีค่อนข้างจำกัด 
 
3) รถยนต์นั่งราคาต่ำล้าน จะมีตัวเลือกในตลาดเพิ่มขึ้นในทุกประเภทเชื้อเพลิง ซึ่งจะเกิดขึ้นทั้งจากการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ๆ รวมถึงการลดราคาขายรุ่นที่วางจำหน่ายอยู่เดิมให้ต่ำลง อาทิ การเปิดตัว MITZUBISHI XPANDER HEV ณ ไตรมาส 1/2024 ที่ราคาเริ่มต้นเพียง 9.5 แสนบาท ขณะที่ MAZDA 3 ก็มีโมเดลที่ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก 1/3 เป็น 2/3 รุ่น ทั้งนี้กลยุทธ์การเจาะตลาดรถยนต์ต่ำล้าน เป็นผลพวงจากกระแสนิยมของผู้บริโภคของไทยที่กว่า 80% นิยมซื้อรถยนต์นั่ง ณ ระดับราคา 5 แสน – 1 ล้านบาท 
 
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ท่ามกลางสมรภูมิสงครามราคามักช่วยแย่งชิงยอดขายให้เติบโตได้เพียงระยะสั้น 
แต่ในระยะยาว กลยุทธ์การแข่งขันนี้กลับนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อสภาพคล่องของธุรกิจ ดังนั้น รูปแบบการดำเนินธุรกิจที่แบรนด์ต่าง ๆ เลือกใช้ ต้องไม่นำมาซึ่งความเสี่ยงจากปัญหาด้านต้นทุนหรือความสามารถในการทำกำไรที่ลดลง ขณะที่ในระยะยาว ควรมุ่งเน้นที่การเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการยกระดับกระบวนการผลิต พัฒนาสินค้า บริการ รวมถึงทักษะแรงงานให้ตอบโจทย์กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
 
ไขคำตอบที่ 2 : ความต่างของค่าเสื่อมราคาระหว่างรถยนต์ไฟฟ้าและสันดาป
 
การประเมินค่าเสื่อมราคา กลายเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญของภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการซื้อขายยานยนต์ไฟฟ้า นับตั้งแต่กระบวนการพิจารณาสินเชื่อ เงื่อนไขประกันภัย รวมถึงตลาดมือ 2 ที่ปัจจุบันยังมีขนาดที่เล็กอยู่มาก โดยข้อมูลบนเว็บไซต์ One2car.com เปิดเผยว่า จำนวนรถ BEV ในไทยยังมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของรถมือ 2 ที่ประกาศขายทั้งหมด อีกทั้ง การตั้งราคาก็ค่อนข้างผันผวน แม้ว่าเลขไมล์และอายุการใช้งานจะใกล้เคียงกัน อาทิ ORA Good Car 500 ซึ่งมีระยะใช้งานราว 4 หมื่นกิโลเมตร วางจำหน่าย ณ ระดับราคาตั้งแต่ 5.5 – 7 แสนบาท  นอกจากนี้ ภาคการเงินและธนาคารก็เผชิญข้อจำกัดด้านข้อมูลและกลุ่มตัวอย่างเช่นกัน อาทิ การคำนวณมูลค่าหลักประกันและมูลค่าซาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องและนำไปสู่ต้นทุนการกู้ยืมและเบี้ยประกันให้อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีแรก (ปี 2022 – 2026) ของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า 
 
อย่างไรก็ดี SCE EIC ตระหนักถึงความท้าท้ายดังกล่าว จึงได้ศึกษาแนวโน้มการเสื่อมราคาของยานยนต์แต่ละประเภทผ่านการวิเคราะห์ 1) ข้อมูลราคาขายรถยนต์มือ 2 บนเว็บไซต์ต่าง ๆ อาทิ One2car.com TaladRod.com และ Carsome.co.th 2) ข้อมูลเชิงลึกจากสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยและธุรกิจรับประมูลรถยนต์ และ 3) งานศึกษาต่างประเทศที่ประเมินอัตราการเสื่อมของแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า ราคาขายรถมือ 2 และระดับการแข่งขัน
 
ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งผลการศึกษาในรูปที่ 4 ชี้ว่า มูลค่าของรถยนต์ไฟฟ้า ทั้ง HEV PHEV และ BEV มีแนวโน้มลดลงเกือบ 50% จากราคาขายเมื่อใช้งานไปเพียงแค่ 1 ปี และหลังจากนั้นจะเสื่อมค่าลงเฉลี่ยปีละเกือบ 5% ขณะที่รถสันดาป (ICE) ทั้งกระบะและรถยนต์นั่ง ยังคงสามารถรักษามูลค่าในปีแรกไว้ได้ถึง 67% ของราคารถใหม่ และมีมูลค่าคงเหลือราว 1 ใน 4 ณ ปีที่ 10 ของอายุการใช้งาน โดยปัจจัยที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะ BEV เสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็วนั้น เป็นผลจาก 1) ราคาขายที่ถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง 2) การซ่อมแซมมีต้นทุนสูงและใช้เวลานาน เพราะอะไหล่ยนต์ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก และ 3) ความกังวลของภาคธุรกิจต่อคุณภาพแบตเตอรี่และอุปสงค์ในตลาดรถมือ 2 ทั้งนี้หากนำข้อมูลดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับภาวะตลาดรถยนต์ในประเทศจีน  จะพบว่า รถ BEV ของจีน มีอัตราการเสื่อมราคาที่เร่งตัวมากกว่าไทย โดยมูลค่าคงเหลือจะลดลงเฉลี่ยปีละ 6.5% นับตั้งแต่การใช้งานปีที่ 2 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นผลจากการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนที่ดุเดือดมากกว่า ทั้งในแง่ของจำนวนผู้เล่นและการใช้สงครามราคา  ดังนั้น หากการแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยยังคงทวีความรุนแรงและเน้นใช้กลยุทธ์การลดราคาเป็นหลัก มูลค่ารถยนต์ของเรา โดยเฉพาะกลุ่ม BEV คงจะเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากประเทศจีนในระยะอันใกล้นี้
 
รูปที่ 4 : มูลค่ายานยนต์ไฟฟ้าลดลงเกือบครึ่ง หลังจากการใช้งานไปเพียง 1 ปี
 
 
ไขคำตอบที่ 3 : จับตาค่าใช้จ่ายผันแปร… EV ประหยัดจริงหรือยังมีอะไรซ่อนอยู่?
 
รถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) มีจุดเด่นสำคัญในด้านความประหยัด โดยเฉพาะการบรรเทารายจ่ายด้านพลังงานและค่าบำรุงรักษา อย่างไรก็ดี ข้อได้เปรียบเหล่านี้อาจมีแรงดึงดูดลดลง หาก EV ecosystem ของไทยพัฒนาได้ไม่เท่าทันกับจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย SCB EIC ได้ทำการเปรียบเทียบต้นทุนผันแปรการถือครองพาหนะส่วนตัวผ่านการประเมิน 1) อัตราสิ้นเปลืองพลังงาน และ 2) ค่าใช้จ่ายในการเช็กระยะ โดยข้อมูลดังกล่าวมาจากการศึกษาคุณลักษณะเฉพาะของตัวเลือกรถยนต์นั่งในตลาด ณ ปัจจุบันกว่า 200+ โมเดล ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวได้ข้อสรุปสำคัญ ดังนี้ 

1) รายจ่ายด้านพลังงานจากการใช้รถ BEV ต่ำกว่ารถสันดาปกว่าเท่าตัว รูปที่ 5 ชี้ให้เห็นว่า การขับขี่รถ BEV ก่อให้เกิดรายจ่ายจากการชาร์จไฟฟ้าเพียง 62 บาท/วัน หรือเฉลี่ยราว 2.3 หมื่นบาทต่อปี ซึ่งต่ำกว่ารถสันดาปขนาดเล็ก – กลาง ถึงกว่าเท่าตัว  ทั้งนี้หากพิจารณาข้อมูลในหมวดรถยนต์ไฮบริดจะพบว่า กลุ่ม HEV (ขุมกำลัง 2 ระบบ) นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ตอบโจทย์ความประหยัด สะท้อนจากอัตราสิ้นเปลืองพลังงานที่ 21 กิโลเมตร/ลิตร ต่ำสุดในบรรดารถที่ยังคงใช้พลังงานเชื้อเพลิง ขณะที่รายจ่ายด้านพลังงานของรถ PHEV (ปลั๊กอินไฮบริด) มีระดับใกล้เคียงกับรถสันดาป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเลือกของรถกลุ่มนี้ในประเทศไทยยังมีค่อนข้างจำกัดและคุณสมบัติเทียบเคียงกับรถสันดาปกลุ่ม D-segment
 
2) ต้นทุนการบำรุงรักษารถ BEV ต่ำที่สุด ขณะที่ค่าเช็กระยะรถสันดาปและไฮบริดอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน อนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการเช็กระยะ นอกจากจะผันแปรไปตามเวลาและระยะการใช้งานแล้ว ยังขึ้นอยู่กับจำนวนชิ้นส่วนรถยนต์ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแล ด้วยเหตุนี้ รถ BEV ซึ่งประกอบด้วยชิ้นส่วนหลักเพียงแค่ 7 ชิ้น  จึงมีต้นทุนการบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ารถประเภทอื่น ๆ หรืออยู่ที่ 8.5 พันบาทจากการใช้งานทั้งสิ้น 1 แสนกิโลเมตร (ประมาณ 5 ปี) (รูปที่ 6) โดยการซ่อมบำรุงหลัก ๆ จะเกี่ยวข้องกับระบบปรับอากาศ ระบบน้ำมันเบรก และระบบเกียร์ ขณะที่รถสันดาปและไฮบริดมีค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษาใกล้เคียงกันที่ 2.7 หมื่นบาท โดยต้นทุนบางส่วนจะเกี่ยวข้องกับระบบส่งกำลัง อีกทั้ง อัตราค่าแรงก็ปรับเพิ่มขึ้นตามจำนวนอะไหล่ยนต์ที่ต้องได้รับการตรวจเช็กและซ่อมบำรุงในแต่ละรอบอีกด้วย 

รูปที่ 5 : ภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานระหว่าง BEV และ ICE ต่างกันกว่าเท่าตัว 
  

 
รูปที่ 6 : ค่าบำรุงรักษารถ BEV ถูกกว่ารถยนต์นั่งทุกประเภท 
 
 
การประเมินค่าใช้จ่ายผันแปรทั้ง 2 ประการข้างต้น สะท้อนว่า รถ BEV สามารถตอบโจทย์ในเรื่องการประหยัดได้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องจับตาความเสี่ยงจากการพัฒนา EV ecosystem ที่อาจทำให้ต้นทุนการถือครองรถ BEV ยังมีค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ ซ่อนอยู่ อาทิ 

• ปัญหาความไม่เพียงพอของสถานีชาร์จสาธารณะ 
 
แม้ว่าจำนวนสถานีชาร์จสาธารณะของไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนในปี 2023 มีจำนวนมากถึง 2.7 พันแห่งหรือ 9.7 พันหัวจ่ายทั่วประเทศ แต่การใช้งานยังนับว่าค่อนข้างแออัด เนื่องจากหัวจ่ายแต่ละหัวจำเป็นต้องรองรับความต้องการชาร์จไฟจากรถ BEV มากถึง 12 คัน (1 : 12) ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ จะพบว่า สัดส่วนหัวจ่ายสาธารณะต่อจำนวนรถ BEV สะสมในประเทศนั้นมีความแออัดน้อยกว่าไทยมาก เช่น จีนและสิงคโปร์ มีสัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1 : 6 และ 1 : 3 ตามลำดับ ด้วยเหตุนี้ ปัญหาความไม่เพียงพอของสถานีชาร์จจึงก่อให้เกิดค่าเสียโอกาสจากระยะเวลาการรอชาร์จไฟ รวมถึงมีส่วนทำให้ EV adoption rate อาจช้ากว่าที่ประเมินไว้
 
• ศูนย์ซ่อมบำรุงยังมีน้อย อู่ซ่อม EV รายย่อยพัฒนาได้ไม่ทัน
 
การมีศูนย์บริการที่ครอบคลุม ถือเป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบสำคัญของค่ายผู้ผลิตรถยนต์เจ้าตลาดเดิม อาทิ TOYOTA และ HONDA มีโชว์รูมจำนวนมากและกระจายตัวทั่วประเทศ (470+ และ 240+ แห่งตามลำดับ) ขณะที่ศูนย์ซ่อมบำรุงของผู้เล่นรายใหม่อย่างค่ายรถไฟฟ้าจากจีนยังคงมีจำนวนน้อย (รวมกันทุกค่ายประมาณ 400 แห่ง)  อีกทั้ง ยังกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดหัวเมืองเป็นหลัก ซึ่งข้อจำกัดนี้มีส่วนทำให้การเข้ารับบริการมีต้นทุนของระยะเวลาการรออะไหล่และค่าเดินทางซ่อนอยู่ นอกจากนี้ การที่อู่ซ่อมรถรายย่อยยังพัฒนากระบวนการ อุปกรณ์ และทักษะฝีมือช่างได้ไม่เท่ากันกับกระแส EV ก็มีส่วนทำให้ผู้บริโภคเผชิญกับตัวเลือกที่จำกัด 
 
ทั้งในแง่ของสถานที่ ประเภทอะไหล่ยนต์ และการกำหนดงบประมาณในการซ่อมบำรุง 
การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้านอกจากจะพึ่งพาแรงดึงดูดด้านอุปสงค์จากเรื่องการลดค่าใช้จ่าย
ด้านพลังงานและการซ่อมบำรุงแล้ว ยังต้องอาศัยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบนิเวศน์ EV ให้เกิดขึ้นเท่าทันกับความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จสาธารณะให้เพียงพอ รวมถึงการเร่งยกระดับผู้ประกอบการรายย่อย อาทิ ธุรกิจอู่ซ่อม ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และช่างซ่อม ให้มีกระบวนผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงทักษะที่สอดรับไปกับกระแสยานยนต์ EV 
 
ไขคำตอบที่ 4 : แนวโน้มเบี้ยประกัน EV เหตุใดยังแพงกว่ารถทั่วไป?
 
แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วนจะมีข้อได้เปรียบด้านการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้งาน แต่ภาระค่าเบี้ยประกันภัยรถ BEV ที่อยู่ในระดับสูงและผันผวน กลับกลายเป็นแรงฉุดสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความกังวลและอาจทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้านั้นช้าลง โดยสำหรับครัวเรือนไทย ค่าเบี้ยประกันรถยนต์คิดเป็น 2.5% ของรายจ่ายครัวเรือนทั้งปี  และหากพิจารณาโครงสร้างตลาดประกันรถยนต์ในภาพรวมพบว่า คนไทยกว่า 60% มักทำประกันให้แก่รถที่ครอบครองอยู่ แต่สำหรับกลุ่ม BEV สัดส่วนการทำประกันจะลดลงมาอยู่ที่ 47%  ซึ่งการที่ผู้บริโภคมีความลังเลในการทำหรือต่ออายุกรมธรรม์ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากอัตราเบี้ยประกันชั้น 1 ของกลุ่มรถ BEV ที่อยู่ในระดับสูงหรือเฉลี่ยประมาณ 3.15 หมื่นบาท/คัน แพงกว่ารถยนต์สันดาปและไฮบริดซึ่งค่าเฉลี่ยเบี้ยประกันอยู่ที่ 1.77 หมื่นบาท/คัน (รูปที่ 7) ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับกรณีศึกษาในต่างประเทศที่เบี้ยประกันรถ BEV ยังคงแพงกว่ารถสันดาปอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ สหรัฐฯ และจีน มีส่วนต่างราคาเบี้ยประกันระหว่างรถทั้ง 2 ประเภทสูงถึง 100% และ 50% ตามลำดับ 
 
รูปที่ 7 : เบี้ยประกันรถ BEV แพงกว่ารถ ICE และ Hybrid กว่าเท่าตัว
 
 
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เบี้ยประกันภัยรถ BEV ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบด้วย 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่
 
1) ค่าซ่อมแซม เปลี่ยนอะไหล่ แพงกว่ารถทั่วไป เนื่องจากอะไหล่ยนต์ยังจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก ซึ่งทำให้เกิดต้นทุนแฝงจากกระบวนการนำเข้าสินค้าและระยะเวลาขนส่ง นอกจากนี้ การที่รถ EV ประกอบด้วยชิ้นส่วนหลักเพียง 7 ชิ้น จึงทำให้ราคาเฉลี่ยต่อชิ้นค่อนข้างสูง อีกทั้ง หากเกิดความเสียหายก็จะเน้นเปลี่ยนใหม่มากกว่าการซ่อมแซม โดยเฉพาะแบตเตอรี่ที่มีมูลค่าสูงถึงเกือบ 60% ของราคารถ 
 
2) อู่ซ่อมมีน้อย แรงงานเฉพาะทางขาดแคลน โดยแม้ว่าไทยจะมีจำนวนช่างซ่อมยานยนต์กว่า 2.73 แสนคนทั่วประเทศ  แต่แรงงานส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับระบบยานยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้ปัจจุบันงานซ่อมบำรุงจะต้องดำเนินการผ่านศูนย์ซ่อมขนาดใหญ่ที่มีข้อจำกัดทั้งด้านค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าอู่รายย่อย อีกทั้งจำนวนก็มีน้อยและกระจายตัวไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ 
 
3) บริษัทรับทำประกันรถ EV มีจำกัด หรือประมาณ 20 ราย คิดเป็นเพียง 10% ของจำนวนธุรกิจประกันภัยรถยนต์ทั้งหมดในไทย ซึ่งความกังวลที่ทำให้บริษัทประกันยังคงลังเลในการก้าวเข้าสู่ตลาดรถ EV เกิดจากการดำเนินธุรกิจมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากอัตราค่าสินไหมทดแทน (Loss ratio) เงื่อนไขความคุ้มครอง รวมถึงการประเมินทุนประกันก็ผันผวนตามกลยุทธ์การแข่งขันด้านราคาจากเหล่าผู้ผลิตค่ายต่าง ๆ ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวก็เริ่มส่งผลให้ผู้เล่นในปัจจุบันที่มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความเข้มงวดและความรัดกุมในการรับประกันภัยรถ EV มากยิ่งขึ้น  ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและอาจทำให้แนวโน้มเบี้ยประกันยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
 
4) ระดับความเสียหายจากอุบัติเหตุของรถ EV สูงกว่ารถ ICE เนื่องจากน้ำหนักของรถยนต์ไฟฟ้าจะมากกว่ารถเก๋งทั่วไปเฉลี่ยประมาณ 400 – 500 กิโลกรัม ดังนั้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ อาทิ Low-speed accident (รถไหลหรือถอยชนเสาด้วยความเร็วต่ำกว่า 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) รถ BEV จะมีระดับและมูลค่าความเสียหายมากกว่ารถสันดาป 
 
เมื่อมองไปข้างหน้า SCB EIC ประเมินว่า ความท้าทายทั้ง 4 ประการข้างต้นจะทยอยคลี่คลายลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนมีส่วนทำให้ราคาเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าล้วนมีแนวโน้มปรับลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 25,500 บาท/คัน/ปี ภายในปี 2030 หรือถูกลงราว 20% จากปี 2023)  ซึ่งเป็นผลพวงจากต้นทุนการซ่อมบำรุงที่ต่ำลง รวมทั้งระบบนิเวศน์ EV ของไทยที่มีความพร้อมมากขึ้น เนื่องจาก 1) อุปทานของอะไหล่ยนต์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการขยายคลังอะไหล่ของเหล่าผู้ผลิตที่มีการตั้งโรงงานในประเทศ กอปรกับการปรับตัวของผู้ประกอบการชาวไทยที่ต้องการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ EV supply chain รวมถึง 2) อู่ซ่อมรายย่อยและช่างฝีมือเฉพาะทางก็จะมีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน สอดรับกับโครงการฝึกอบรมช่างซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้าภาคปฏิบัติที่จัดขึ้นต่อเนื่องทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 
 
บทสรุป : รถยนต์ประเภทไหน ยิ่งขับ ยิ่งคุ้ม ?
 
ค่าใช้จ่ายจากการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ในช่วง 3 ปีแรก สูงกว่ารถสันดาปและไฮบริด แต่หลังจากนั้นจะทยอยลดลงต่อเนื่องจนทำให้ต้นทุนการถือครองตลอดอายุการใช้งานต่ำที่สุดโดยหลังจากการไขข้อสงสัยเกี่ยวกับต้นทุนการถือครองใน 4 ประเด็นข้างต้น SCB EIC ได้วิเคราะห์และเปรียบเทียบความคุ้มค่าจากการใช้งานรถยนต์นั่งประเภทต่าง ๆ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้แผนการซื้อรถใหม่ของผู้บริโภคง่ายขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นแนวทางสำหรับภาคธุรกิจเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับกระแสนิยมและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป โดยรูปที่ 8 ชี้ว่า หากผู้บริโภคซื้อรถใหม่ ณ ปี 2024 และมีการใช้งานไปอีก 10 ปี ต้นทุนรวมของการถือครองรถยนต์นั่ง ICE จะสูงที่สุดหรือราว 4.6 แสนบาท รองลงมาคือกลุ่มรถไฮบริดซึ่งมีรายจ่ายทั้งหมดอยู่ที่ 4.2 แสนบาทตลอดอายุการใช้งาน อย่างไรก็ดี รถประเภทนี้กลับสามารถช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายในระยะสั้นได้ดีที่สุด เนื่องจากต้นทุนการใช้งานเฉลี่ยในช่วง 1 และ 2 ปีแรกอยู่ที่เพียง 4.3 และ 3.9 บาท/กิโลเมตรตามลำดับ ซึ่งต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับทั้งรถยนต์นั่ง ICE และ BEV

รูปที่ 8 : รถ BEV เป็นตัวเลือกการขับขี่ที่จะตอบโจทย์ความประหยัดและความคุ้มค่าในระยะยาวได้ดีที่สุด

 
สำหรับ รถ BEV พบว่า ต้นทุนการถือครองในระยะสั้น (3 ปีแรกของการใช้งาน) จะแพงกว่ารถประเภทอื่น ๆ หรือเฉลี่ยประมาณ 4.3 บาท/กิโลเมตร ซึ่งเป็นผลพวงจาก 1) ภาระเบี้ยประกันที่อยู่ในระดับสูง และ 2) อัตราการเสื่อมค่าที่รวดเร็วจากการใช้งานไปเพียง 1 ปี ทั้งนี้ข้อจำกัดดังกล่าวนับเป็นภาวะปกติของกลุ่มประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาเพื่อแย่งชิงฐานลูกค้ามีความรุนแรง อีกทั้ง ภาคธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ สถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย และเต็นท์รถ ก็ยังขาดความรู้ความเข้าใจและความเชื่อมั่นในภาวะตลาดยานยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ดี SCB EIC เล็งเห็นว่า รถ BEV นับเป็นตัวเลือกการขับขี่ที่ตอบโจทย์ความประหยัดในระยะยาวได้ดีที่สุด โดยแม้ว่าการใช้งานช่วง 2 – 3 ปีแรกจะมีต้นทุนการใช้งานที่สูงแต่ตลอดอายุการใช้งานจะสร้างภาระค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเพียง 3.86 แสนบาท ซึ่งต่ำกว่ารถ ICE และ BEV ประมาณ 10% - 15% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอานิสงส์จากรายจ่ายจากการขับขี่จะทยอยปรับลดลงจนมาอยู่ที่เฉลี่ย 3.5 บาท/กิโลเมตรเมื่ออายุการใช้งานเข้าสู่ปีที่ 7  ซึ่งปัจจัยส่งเสริมความคุ้มค่านี้มาจากค่าใช้จ่ายการชาร์จไฟฟ้าและการซ่อมบำรุงรักษานั้นอยู่ในระดับต่ำ จนสามารถชดเชยกับภาระเบี้ยประกันที่โดยรวมยังแพงกว่ารถสันดาปและไฮบริดราว 50% ตลอดอายุการใช้งาน 
 
โดยสรุป เสน่ห์ของรถยนต์ไฟฟ้าด้านความประหยัด จะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ แต่ตลาดจะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนหรือไม่นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคการเงิน ในการพัฒนาและส่งเสริมระบบนิเวศน์และโครงสร้างพื้นฐาน EV ให้เพียงพอและมีคุณภาพ ทั้งในด้านสถานีชาร์จ ความพร้อมของผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงทักษะฝีมือแรงงาน ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการลดต้นทุนแฝงและลดความกังวลต่อการถือครองรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ เหล่าผู้ผลิตยานยนต์เองก็ควรหันมาแข่งขันกันด้วยกลยุทธ์เชิงสร้างสรรค์ทดแทนการใช้สงครามราคา เช่น การสร้างแรงดึงดูดจากข้อมูลการใช้งาน การยกระดับสมรรถนะและเทคโนโลยีขับขี่อย่างต่อเนื่อง โดยแนวทางเหล่านี้จะช่วยบรรเทาความกังวลเรื่องค่าเสื่อมราคา อีกทั้ง ลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องจากความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงและทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป 

บทวิเคราะห์โดย... https://www.scbeic.com/th/detail/product/the-drive-to-decide-010824
 
ผู้เขียนบทวิเคราะห์
 
ฐิตา เภกานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส(tita.phekanonth@scb.co.th)
 
 

 


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 05 ส.ค. 2567 เวลา : 13:02:47
03-07-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.25-32.50บาท/ดอลลาร์

2. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (3 ก.ค.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.35 บาทต่อดอลลาร์

3. ทองเปิดตลาดวันนี้ (3 ก.ค. 68) ปรับลดลง 50 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,050 บาท

4. ตลาดหุ้นเปิดวันนี้ (3 ก.ค.68) ลบ 0.39 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,115.30 จุด

5. ตลาดหุ้นปิด (2 ก.ค.68) บวก 5.68 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,115.69 จุด

6. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (2 ก.ค.68) ลบ 4.59 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,105.42 จุด

7. MTS Gold คาดราคาทองไทยจะมีแนวรับระยะสั้นที่ 50,800 บาท/บาททองคำ และมีแนวต้านระยะสั้นที่ 51,400 บาท/บาททองคำ

8. พยากรณ์อากาศวันนี้ (2 ก.ค.68) ฝนตกหนักในภาคอีสาน-ภาคตะวันออก 80% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคเหนือ-ภาคกลาง 70% ภาคใต้ 60%

9. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (1 ก.ค.68) บวก 400.17 จุด รับแรงหนุนหุ้นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจ

10. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (1 ก.ค.68) พุ่ง 42.10 ดอลลาร์ แห่ซื้อทองสินทรัพย์ปลอดภัย หลังสภาผ่านร่างกฎหมายภาษีทรัมป์ดันหนี้สาธารณะพุ่ง

11. ทองเปิดตลาดวันนี้ (2 ก.ค. 68) ลดลง 50 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,050 บาท

12. ตลาดหุ้นไทยเปิดวันนี้ (2 ก.ค.68) บวก 2.11 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,122.22 จุด

13. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (2 ก.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์

14. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

15. พรุ่งนี้ (2 ก.ค. 68) น้ำมันเบนซิน-แก๊สโซฮอลล์ลดราคา 30 สต./ลิตร

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ July 3, 2025, 10:37 am